วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

[FIC] Passionate: 8th ☆ Myungyeol

Passionate
8th - Tears

Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Romantic Drama
Author: khanunys
A\N: - จองฟิคกันไหม? กดตรงนี้
- มีคนเคยถามเราว่าฟิคเรื่องนี้มีที่มาจากอะไร มันมาจากหนังสือ Principles of Marketing ค่ะ XD
-  จะด่ามยองซูเชิญที่ #ฟิคพชน เลยนะคะ :D








-passionate-







ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาภายในอาคารสำนักงานของบริษัท KSG อย่างรีบเร่ง จนทำให้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบต้องหันมาให้ความสนใจอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าของอีซองยอลนั้นแสดงออกถึงความหงุดหงิดอยู่หลายส่วน เป็นผลให้คนที่คิดจะเข้ามาทักทายเจ้าตัวต้องล่าถอยออกไปไม่น้อย


ซองยอลรีบรุดขึ้นไปหาท่านประธานที่ห้องทำงาน เมื่อได้ทราบจากเลขาส่วนตัวของคิมซองกยูว่าอีกฝ่ายไม่ได้ติดประชุมและไม่มีคนเข้าพบในตอนนี้ คนตัวสูงจึงเปิดประตูเข้าไปโดยไม่คิดจะเคาะประตูก่อน


“ลมอะไรหอบนายมาได้ล่ะซองยอล” เสียงทุ้มของรุ่นพี่ดังขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบกับเขา ซองยอลถอนหายใจออกมาแรงๆก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าซองกยู


“เอางานมาส่งครับ” ตอบคำถามพร้อมกับยื่นแผ่นกระดาษที่เป็นต้นฉบับของสินค้าให้กับคิมซองกยู แล้วพูดต่อ “...และจะมาถามเรื่องงานแต่งงานของคิมมยองซู”


“อ้อ เมื่อเช้าพี่ยังพูดไม่ทันจะจบ นายก็เงียบไปเสียก่อน” ซองกยูว่ามาเช่นนั้น ซองยอลจึงจำเป็นต้องเอ่ยแก้ตัวเพื่อไม่ให้ท่านประธานหนุ่มต้องตั้งข้อสังเกตอะไรมาสงสัยเขา


“ผมก็ไม่ได้ยินเสียงพี่ครับ น่าจะเป็นเพราะระบบ ผมก็เลยต้องมาถามพี่เอาตอนนี้”


“งั้นเหรอ” นักธุรกิจหนุ่มจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลของรุ่นน้องคล้ายจะมองหาพิรุธ “งานแต่งงานของมยองซูจะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า พี่เองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้าเหมือนกัน”


“ทำไมถึงดูรีบร้อนแบบนั้นล่ะครับ” ซองยอลแสร้งถาม พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง


“พี่ก็ไม่รู้” ซองกยูตอบกลับมาสั้นๆ “อินฟินิตี้เหรอ ได้ไอเดียมาจาก สร้อยเส้นนั้น หรือไงซองยอล”


“เปล่าครับ ได้มาจากมยองซูน่ะ” คนหน้าหวานตอบคำถามของซองกยู “พวกวัสดุผมเขียนอธิบายไว้ให้แล้วนะครับ จะได้กันลืมด้วย”


“พี่เห็นแล้วล่ะ ว่าแต่ตั้งแต่กลับมาพี่ยังไม่เห็นนายใส่สร้อยเส้นนั้นเลยนะ หายไปไหนซะล่ะ” คนเป็นพี่วกกลับมาที่เรื่องสร้อยที่ซองยอลใส่ประจำอีกครั้ง สร้อยที่มีจี้เป็นรูปสัญลักษณ์อินฟินิตี้ที่คิมซองกยูนำมามอบให้กับอีซองยอลในวันที่คนตัวสูงจะเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส โดยบอกแค่ว่ามีคนฝากมาให้ และจนถึงทุกวันนี้ซองยอลก็ยังไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของสร้อยเส้นนั้น


“ผมส่งไปทำความสะอาดน่ะครับ ทองคำขาวพอใส่นานๆแล้วมันก็ดำได้นะพี่” เสียงกลั้วหัวเราะดังลอดจากริมฝีปากอิ่ม เมื่อเจ้าตัวเห็นว่าคิมซองกยูดูจะให้ความสนใจกับสร้อยเส้นนั้นไม่น้อย


อีซองยอลชอบสร้อยเส้นนั้นมากเพราะตั้งแต่ที่เขาได้รับมันมา ซองยอลก็มักจะใส่มันไว้ตลอดจนมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะเขาใส่ติดต่อกันเป็นเวลานาน คนหน้าหวานจึงตัดสินใจที่จะส่งมันไปทำความสะอาดที่ร้านเครื่องประดับ เนื่องจากความพยายามที่จะทำความสะอาดมันด้วยตัวเองนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อทุกวิธีการที่เขาเสิร์ชหาจากอินเตอร์เน็ตมันไม่ได้ช่วยให้สร้อยของเขาขาวขึ้นแม้แต่นิดเดียว


“พี่ก็แค่สงสัยน่ะ เห็นนายไม่ใส่เลย”


“พี่ก็รู้ว่าผมชอบมันแค่ไหน” คนหน้าหวานสวนกลับในทันที “ถ้าไม่จำเป็นผมคงไม่ถอดหรอกครับ”


“นั่นสินะ” ท่านประธานรำพึง “จริงสิ ได้ข่าวว่านายเริ่มสนิทกับคนในแผนกแล้ว?”


“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ” บางทีอีซองยอลก็รู้สึกคล้ายกับว่าเขากำลังอยู่ในห้องสัมภาษณ์งานอย่างไรอย่างนั้น “ก็แค่ลองเข้าไปที่นั่นดู แล้วก็ไปช่วยงานมานิดหน่อย”


“เป็นยังไงบ้างล่ะ” คิมซองกยูก็ยังคงเป็นรุ่นพี่ที่ห่วงใยอีซองยอลในทุกเรื่องเสมอ


“ก็ดีครับ ที่เข้ากันได้ดีก็คงเป็นพี่ดงอู อูฮยอนแล้วก็โฮวอน”


“ดีแล้ว” รุ่นพี่พูดพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเขาบางๆ “ออกไปข้างนอกด้วยกันหน่อยสิ พี่ว่าพี่จะไปดูเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปงานของมยองซูซะหน่อย”


“พี่ซองกยูว่าผมแต่งตัวให้หล่อกว่าเจ้าของงานดีไหม” ซองยอลแสร้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะคล้ายกับเขากำลังรู้สึกสนุกสนานกับสิ่งที่พูดออกไป


ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย


หัวใจของเขาเจ็บปวดเสียจนซองยอลไม่รู้ว่าเขาควรจัดการกับมันอย่างไร







- passionate –







เสียงกริ่งที่หน้าประตูห้องพักของเขาดังขึ้นทำให้ซองยอลต้องถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ แม้เขาจะยังไม่ทันได้เดินออกไปดูว่าใครเป็นผู้มาเยือน แต่ซองยอลกลับรู้สึกมั่นใจไม่น้อยว่าผู้มาเยือนก็คงหนีไม่พ้นคิมมยองซูคนนั้น หัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างมิอาจต้านทาน


ซองยอลไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดและหงุดหงิดกับคำว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่นี้คืออะไร


“มีอะไร” เขาเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ติดจะไม่พอใจ หากแต่คิมมยองซูกลับส่งยิ้มกว้างให้กับเขาพร้อมกับชูของสดในมือขึ้นมาพร้อมกับบอกเขาว่าวันนี้เจ้าตัวจะมาทำอาหารเย็นให้เขาทานอีก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของเขาโดยที่เขาไม่ทันได้เอ่ยท้วงหรือห้ามอีกฝ่ายเลยแม้แต่คำเดียว


“ฝึกทำอาหารให้ว่าที่ภรรยาทานหรือไง คิมมยองซู” ซองยอลอดไม่ได้ที่จะพูดจาประชดประชันอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในหัวใจของเขา คิมมยองซูหันมามองซองยอลด้วยแววตาที่เขาอ่านไม่ออก


“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” อีกฝ่ายเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจนซองยอลไม่สามารถอ่านอะไรจากคำพูดและแววตาของอีกฝ่ายได้เลย


“เมื่อเช้า” ซองยอลตอบ “ถ้าพี่ซองกยูไม่บอกฉันก็คงไม่รู้ว่าคนที่ฉันมีเซ็กซ์ด้วยเมื่อคืนกำลังจะแต่งงาน...” คนหน้าหวานหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “...ทำแบบนี้ต้องการอะไร”


“ฉันเคยบอกนายไปแล้ว” มยองซูตอบคำถามของเขาแล้วหันกลับไปสนใจของสดที่เจ้าตัวกำลังเตรียมเพื่อทำอาหารเย็นต่อ “ฉันต้องการนาย”


“แต่นายกำลังจะแต่งงาน!” เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกหงุดหงิดเสียจนต้องขึ้นเสียงใส่คิมมยองซู “ถึงฉันจะเล่นกับคนอื่นไปทั่วแต่ฉันไม่เห็นด้วยกับการนอกใจ และฉันว่าบางทีเราอาจจะต้องยุติสัญญาของเราได้แล้ว”


แผ่นหลังบางแนบสนิทไปกับตู้เย็น เมื่อคิมมยองซูเดินเข้ามากระชากข้อมือของเขาและออกแรงเหวี่ยงจนร่างของซองยอลกระทบเข้ากับประตูตู้เย็น


“ทำไม หรือว่านายอยากจะกลับไปหาพวกของเล่นของนาย” คิมมยองซูแสยะยิ้ม “มีใครบางล่ะ คุณนาบี โฮวอน แล้วก็รุ่นน้องคนนั้นน่ะเหรอ หรือมีที่ฉันยังไม่รู้อีกล่ะ”


“ฉันจะไปกับใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน” ซองยอลกัดฟันตอบกลับไป “ส่วนนายเองก็ควรจะสนใจว่าที่เจ้าสาวของนายให้มากกว่านี้”


“ฉันจะสนใจคนที่ฉันสนใจ อีซองยอล” มยองซูพูดตอบพร้อมกับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของพวกเขาสัมผัสกัน ก่อนที่คิมมยองซูจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นเบาๆในตอนที่ริมฝีปากของเขาทั้งคู่กำลังจะแตะกัน “และคนที่ฉันสนใจในตอนนี้ ก็คือนาย”


ริมฝีปากที่ประทับลงมาจนแนบสนิท ก่อนที่คิมมยองซูจะเริ่มตอดจูบทีละน้อย คนหน้าหล่อดูดดึงกลีบปากของเขาจนซองยอลจำเป็นต้องเผยอปากออกให้อีกฝ่ายเข้าไปสำรวจได้ตามใจ ปลายลิ้นที่รุกล้ำอย่างเอาแต่ใจทำให้คนหน้าหวานรู้สึกขนลุกไปหมดทั้งตัว ความรู้สึกมากมายกำลังเอ่อล้นขึ้นมาจนซองยอลเริ่มมั่นใจกับตัวเองได้ทีละน้อย


ดวงตาที่ปิดสนิทรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาด้วยหยาดน้ำตาที่เริ่มจะคลอหน่วยโดยที่ซองยอลไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากนุ่มจูบตอบคิมมยองซูอย่างตั้งใจ ซองยอลอาจจะสื่ออะไรหลายๆอย่างไปกับจูบนี้...


“ข้อตกลงของเราจะยังไม่ยุติลง” คิมมยองซูพูดประโยคที่ไม่ว่าใครมองก็จะต้องรู้สึกว่ามันเห็นแก่ตัว หากแต่อีซองยอลกลับยอมที่จะให้อีกคนเอาเปรียบเขาได้ตามใจ ดวงหน้าหวานทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของอีกคน “ความสัมพันธ์ของเราจะเป็นแบบนี้ต่อไปนะ”







- passionate –







“(ซองจง ว่างมาเจอพี่ไหม)”


อีซองจงที่เพิ่งกดรับโทรศัพท์จากรุ่นพี่หนุ่มที่ช่วยเหลืองานของเขาจนสามารถส่งได้ทันเวลาถึงกลับต้องเลิกคิ้วด้วยความตกใจ เสียงของปลายสายดูจะไม่สู้ดีเท่าไรนัก คล้ายกับว่าอีซองยอลกำลังคิดมากอยู่ไม่มีผิด


“ว่างครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับปลายสายด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความห่วงใย เขานัดหมายสถานที่นัดพบกันอีกสองสามประโยคก่อนที่จะวางสายจากกันไป อีซองยอลจงได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจไปด้วยเมื่อหวนคิดถึงเสียงของรุ่นพี่อย่างซองยอล มือเล็กหยิบจับของใช้จำเป็นใส่ลงในกระเป๋าแล้วรีบออกเดินทางไปยังที่ที่เจ้าตัวนัดกับซองยอลเอาไว้ทันที


เด็กหนุ่มร่างบางใช้เวลาเดินทางไม่นานเท่าไรเขาก็มาถึงสถานที่นัดพบ คนตัวเล็กยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาจากนาฬิกาที่ใส่ประจำก่อนจะพบว่าใกล้จะถึงเวลานัดที่เขานัดกันไว้แล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นซองจงจึงพาร่างของตนเองไปยังร้านอาหารที่เป็นจุดหมายปลายทางของการนัดพบครั้งนี้ ทันทีที่เด็กหนุ่มเดินไปถึงร้านอาหารนั้น เขาก็ได้พบกับร่างสูงของรุ่นพี่หนุ่มที่นั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว


“พี่ซองยอล” เขาเอ่ยทักทันทีด้วยความเป็นห่วง ฝ่ายเจ้าของชื่อที่ได้ยินเสียงเรียกก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยทักทายเขาด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองมุมใดซองจงก็รู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนเสียเหลือเกิน ซองจงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ดูไม่สบายใจเลย”


“พี่กำลังคิดไม่ตก” ซองยอลตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเครียดอยู่จริงๆ “จำที่พี่เคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม คนนั้นเขากำลังจะแต่งงานล่ะ”


“พี่ซองยอล...” เด็กหนุ่มได้แต่รำพึงออกมาด้วยความตกใจ ดวงตากลมจับจ้องไปที่รุ่นพี่ด้วยความห่วงใย


“พี่ไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไรกันแน่ ซองจง” เสียงของซองยอลดูเครียดเสียจนซองจงต้องตัดสินใจลุกจากที่นั่งของตนเองไปนั่งลงข้างกายของรุ่นพี่ มือเล็กแตะลงบนบ่าของอีกคนแล้วลูบไปมาเป็นการปลอบประโลม “พี่กำลังเจ็บปวด”


“พี่ลองถามหัวใจตัวเองดูหรือยังครับพี่ซองยอล ว่าที่พี่เจ็บปวดมันเป็นเพราะอะไร” คนเป็นน้องเอ่ยถามพร้อมกับยกยิ้มอ่อนโยนขึ้นบนใบหน้า


“พี่ไม่รู้” ซองยอลดูสับสนจนซองจงนึกสงสาร “พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ ...พี่ไม่รู้”


“พี่ซองยอล ผมรู้ฮะว่าพี่ไม่รู้ แต่ตอนนี้พี่ควรรู้ตัวได้แล้ว” มือเล็กจับลงที่ใบหน้าของรุ่นพี่พร้อมกับออกแรงบังคับให้อีซองยอลหันมาสบตาของตนเอง นัยน์ตาสีน้ำตาลสองคู่สบกัน ก่อนที่ซองจงจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น “พี่กำลังรักเขาเข้าแล้วนะครับ พี่ซองยอล”








- passionate –








คิมซองกยูเดินเข้าสู่บริเวณงานแต่งงานหรูหราที่จัดที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง หากแต่ดวงตาเรียวเล็กกลับเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งของน้องชายคนสนิทที่เดินหลบออกจากหน้างานไปอีกทาง นักธุรกิจหนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะเดินตามอีกฝ่ายไป


“ซองยอล” ซองกยูร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงที่ไม่ดังมากกนัก


“อ้าว พี่ซองกยู” คนหน้าหวานหันกลับมาตามเสียงเรียกพร้อมกับเอ่ยทักรุ่นพี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูเกร็งๆ แต่คนเป็นพี่ก็ไม่คิดจะตั้งคำถามอะไรให้มากความ เพราะเขารู้จักซองยอลดีพอที่จะรู้ว่าหากซองยอลไม่อยากจะบอก อีกคนก็ไม่มีทางจะบอกมันออกมาแม้แต่คำเดียว


“ไม่เข้างานเหรอ”


“ผมออกมาสูดอากาศน่ะฮะ” ซองยอลตอบกลับมาก่อนที่เจ้าตัวจะเท้าแขนลงบนราวกั้นระเบียง “ข้างในคนเยอะจนผมรู้สึกอึดอัด”
“แต่งานจะเริ่มแล้วนะ” ท่านประธานยังหนุ่มเอ่ยท้วง “เข้างานเถอะ เข้าไปพร้อมพี่นี่แหละ”


ไม่พูดเปล่า คิมซองกยูยื่นมือไปกุมมือของอีซองยอลเอาไว้เสียแน่น จากนั้นจึงออกแรงดึงให้คนเป็นน้องก้าวตามหลังเขามา ถึงแม้ซองกยูจะไม่รู้ว่าระหว่างคิมมยองซูและอีซองยอลมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็มั่นใจไม่น้อยว่าเรื่องของสองคนนี้มันไม่มีทางเป็นเหมือนเมื่อก่อนแน่นอน แถมซองยอลในตอนนี้ยังทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังอ่อนแอ จนซองกยูอดที่จะยื่นมือเข้าไปประคองน้องให้ลุกขึ้นอย่างเข้มแข็งไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้มอบความเข้มแข็งให้กับซองยอลสักนิด


ดวงตากลมคู่หวานจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างนึกขอบคุณ


ถึงแม้ว่าตั้งแต่เรื่องราวของเขากับมยองซูนั้นก้าวล้ำความเป็นเพื่อนร่วมงานกันไปไกลเกินแก้ ซองยอลก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องเหล่านั้นให้ซองกยูรับรู้เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ปกติแล้วซองกยูจะเป็นคนที่ซองยอลยอมเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังโดยง่ายแท้ๆ แต่ในขณะที่ซองกยูยังไม่ได้รับรู้เรื่องใดแต่อีกฝ่ายกลับส่งผ่านความเข้มแข็งมาให้เขาผ่านทางฝ่ามือที่กุมมือของเขาไว้ เพียงเท่านี้ซองยอลก็ไม่รู้จะพูดขอบคุณรุ่นพี่คนนี้อย่างไรเสียแล้ว


“พี่ซองกยู ....ซองยอล” เจ้าของงานในวันนี้เอ่ยทักขึ้นเมื่อซองกยูกับซองยอลเดินไปถึงบริเวณประตูทางเข้างาน


คิมมยองซูในวันนี้ดูดีเสียจนซองยอลไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอีกฝ่ายนั้นทั้งหล่อเหลาและสง่างามในชุดสูทสีขาวสว่างเช่นนั้น คนตัวบางส่งยิ้มบางๆให้กับมยองซูก่อนจะกระชับมือที่กุมกับซองกยูให้แน่นยิ่งขึ้นจนคนเป็นพี่ต้องเหลือบมองการกระทำของเขาด้วยความแปลกใจ


“มีความสุขมากๆนะมยองซู” คิมซองกยูเอ่ยอวยพรหัวหน้าแผนกหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นจึงใช้มือข้างที่ว่างตบเข้าที่ไหล่ของรุ่นน้องสองสามที


“ขอบคุณครับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซองกยูจึงบอกมยองซูว่าขอตัวเข้าไปในงานก่อน แล้วออกแรงดึงร่างสูงของอีซองยอลให้เดินไปพร้อมๆกัน ในขณะที่ซองยอลกำลังเดินผ่านร่างของมยองซูนั้น คนหน้าหล่อได้ยื่นมือมาแตะกับมือของซองยอลอย่างจงใจ


แนวฟันขาวขบลงบนกลีบปากนุ่มเพื่อสะกัดกลั้นความเจ็บปวดที่กำลังแพร่กระจายอยู่ภายในหัวใจเขา


ในตอนนี้ซองยอลรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงเจ็บปวด มันเป็นเพราะเขากำลังถูกความรักเข้ามาทักทายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เมื่อรู้ตัวว่ารัก เขาก็ต้องพบกับความเจ็บปวด เมื่อเจ้าของหัวใจของเขานั้นกำลังจะมีเจ้าของ


คิมมยองซูกำลังจะแต่งงาน และในตอนนี้อีซองยอลก็ยืนอยู่ภายในงานแต่งงานของใครคนนั้น


“ซองยอล!” เสียงเรียกอย่างสดใสทำให้ซองยอลต้องหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะพบว่าเป็นจางดงอูนั่นเองที่ร้องเรียกเขา ด้านหลังของดงอูคืออูฮยอนและโฮวอนตามลำดับ


“สวัสดีครับพี่ดงอู” ซองยอลเอ่ยทักทายคนเป็นพี่ด้วยรอยยิ้ม “อูฮยอนกับโฮวอนก็ด้วยนะ”


“สีหน้านายดูไม่ค่อยดี นายโอเคนะซองยอล” นัมอูฮยอนถามเขาพร้อมกับทำหน้าไม่สบายใจ จนซองยอลต้องแย้มยิ้มกว้างพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆให้อีกคนเพื่อเป็นการบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร หากแต่อูฮยอนก็ยังคงถามต่ออยู่ดี “จริงนะ?”


“จริงสิ” ซองยอลว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้กับหัวหน้าฝ่ายออกแบบ อูฮยอนทำท่าเหมือนไม่เชื่อเขาเท่าไร แต่ก็ยอมหันไปคุยกับซองกยูที่เอ่ยเรียกอูฮยอนให้เข้าไปร่วมบทสนทนา


“เป็นยังไงบ้างครับคุณซองยอล” อีโฮวอนเป็นฝ่ายเข้ามาเอ่ยถามเขา หลังจากที่นัมอูฮยอนย้ายไปคุยกับท่านประธานบริษัทเสียแล้ว “โซฟาเบดเดินหน้าไปถึงไหนแล้วงั้นเหรอครับ”


“เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ” ซองยอลตอบพร้อมกับยื่นมือไปหยิบค็อกเทลสีสวยจากถาดที่บริกรถือมาบริการ


“งั้นเหรอครับ” โฮวอนว่าพลางยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาจิบ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณซองยอล”


“ยังไงฉันก็ต้องขอบใจนายอยู่ดี โฮวอน ถ้าไม่ได้นายฉันก็คงยังมืดแปดด้านอยู่นั่นแหละ” เจ้าของชื่อในประโยคเมื่อครู่ถึงกลับหลุดหัวเราะออกมาให้กับสิ่งที่ได้ยิน ชายหนุ่มร่างหนานึกขำอีซองยอลอยู่ในใจที่อีกฝ่ายมีภาพลักษณ์เรียบเฉยและดูเหมือนไม่สนใจใครหน้าไหน แต่กลับพูดขอบคุณออกมาด้วยสีหน้าและท่าทางน่ารักๆที่ทำให้ใครต่อใครใจเต้นได้ไม่ยาก


“คุณรู้ตัวไหมครับว่าคุณน่ารักมากเลยนะ” โฮวอนเผลอพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจเมื่อครู่อย่างไม่ทันได้ห้ามปากตนเอง ฝ่ายคนโดนชมจึงเบิกตามองคนพูดด้วยความตกใจ ทำให้อีโฮวอนต้องรีบพูดแก้ตัว “ผมหมายถึงว่าคุณซองยอลนิสัยน่ารักกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้น่ะครับ”


“งั้นเหรอ” อีซองยอลเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยถาม ชายหนุ่มยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอึกใหญ่ ก่อนที่ดวงตาสีเฮเซลนัมจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเข้าเสียก่อน ซองยอลขอตัวจากโฮวอนแล้วเดินแยกไปหาหญิงสาวคนนั้นทันที แขนเรียวโอบรอบเอวคอดที่ถูกเน้นสัดส่วนของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยกระซิบแผ่วเบาที่ใบหู


“วันนี้คุณนาบีสวยมากเลยนะครับ”


“ค-คุณซองยอล!” ยุนนาบีร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่ตกแต่งด้วยสารเคมีมาเป็นอย่างดีขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขินอายเมื่อตนถูกชายหนุ่มที่มักจะเข้ามาทำให้ใจเต้นแรงชมเอาซึ่งๆหน้า


“ครับ ผมเอง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นที่มุมปาก แขนเรียวโอบกอดร่างของหญิงสาวให้ชิดกับร่างกายของตนเองมากยิ่งขึ้น ยามที่เห็นว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวกำลังเดินขึ้นเวทีไปด้วยกัน โดยที่เจ้าสาวนั้นควงแขนฝ่ายเจ้าบ่าวเอาไว้ไม่ปล่อย ถึงแม้ดวงตาของเขาจะลอบมองคนบนเวทีอยู่ก็ตาม หากแต่ซองยอลก็ยังกระซิบแผ่วเบาที่หูของนาบีต่อ “ผมคิดถึงคุณนาบีมากเลยนะครับ”


“ดิฉันก็คิดถึงคุณค่ะ” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่เขินจัดจนซองยอลต้องหัวเราะในลำคอออกมา


“ตอนนี้ผมคงต้องกลับไปอยู่กับพี่ซองกยูแล้ว” ซองยอลพูดขึ้นเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา “ยังไงถ้าถึงเวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งคุณนะครับ”


รอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของซองยอล เรียวสีเลือดให้ปรากฏบนใบหน้าของยุนนาบีได้ไม่ยาก เจ้าหล่อนพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบตกลงคำพูดเชิงถามของซองยอล เมื่อหนุ่มหน้าหวานได้รับคำตอบนั้นเรียบร้อยแล้ว ซองยอลจึงขอตัวเดินกลับมาหาคิมซองกยูที่บ่นเขาราวกับคนแก่


กิจกรรมของงานเลี้ยงแต่งงานยังคงดำเนินไปตามระเบียบการของมัน หากแต่อีซองยอลที่รู้สึกอึดอัดเพราะสายตาของคิมมยองซูที่มักจะมองสบกับเขาอยู่บ่อยครั้ง คนหน้าหวานจึงตัดสินใจลุกออกจากงานเลี้ยงออกมารับอากาศที่ปลอดโปร่งด้านนอกแทน


“ออกมาทำอะไร” เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นหลังจากที่ซองยอลออกมาได้เพียงไม่นาน


“อยู่ข้างในมันอึดอัดนิดหน่อย ฉันก็เลยออกมาสูดอากาศ” ซองยอลตอบกลับไปโดยไม่ได้หันไปมองผู้มาใหญ่ “แล้วนายล่ะ เป็นเจ้าบ่าวก็ควรจะต้องอยู่ในงานไม่ใช่หรือไง คิมมยองซู”


“ฉันเองก็อึดอัดเป็นเหมือนกันนะ” มยองซูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน “ซองยอล...”


“หืม” เขาตอบกลับไปโดยยังไม่ละสายตาออกจากท้องฟ้าเบื้องหน้า


“หันมาหน่อยได้ไหม” ซองยอลหันไปตามคำขอของมยองซู ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่ริมฝีปากนุ่มของคนหน้าหวานถูกแนบจูบลงมาโดยที่เขาเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว


จูบที่ไม่ได้มีอะไรมากเกินกว่าการแตะริมฝีปากเอาไว้ แต่หัวใจของซองยอลกลับเต้นอย่างบ้าคลั่ง จนถึงแม้มยองซูจะขอตัวกลับเข้างานไปแล้วก็ตามที อีซองยอลผ่อนลมหายใจออกมายาวๆแล้วเดินกลับเข้าไปในงาน หากแต่ภาพที่เห็นจากบนเวทีก็ทำให้ดวงตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยที่เขาไม่อาจต้านทานความรู้สึกได้แม้แต่นิดเดียว


คิมมยองซูกำลังจูบกับเจ้าสาว


ริมฝีปากที่เพิ่งมอบจูบให้กับซองยอลเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กำลังแนบประทับอยู่บนริมฝีปากของหญิงสาวที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่อง


ภาพที่เห็นทำให้ซองยอลได้แต่แสยะยิ้มให้กับตัวเองเป็นการเย้ยหยัน ขายาวก้าวเดินเข้าไปในงาน คนตัวสูงเดินตรงไปที่ยุนนาบี ซองยอลกระซิบพูดกับหญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะพาเธอออกมาจากงานอย่างรวดเร็ว


รถยนต์คันหรูแล่นฉิวอยู่บนถนนที่ในตอนนี้ค่อนข้างโล่งด้วยความรวดเร็ว จุดหมายปลายทางของเขาในตอนนี้อยู่ที่ห้องพักของยุนนาบี ซองยอลยื่นมือไปลูบไล้ขาเรียวสวยของหญิงสาวพร้อมกับหันไปสบตากับอีกฝ่ายเป็นครั้งคราว เมื่อรถจอดเทียบในช่องตารางที่ลานจอดรถ เขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูลงไปและให้หญิงสาวเดินนำเขาขึ้นไปที่ห้องของเธอ


ทันทีที่ประตูห้องปิดลงซองยอลก็มอบจูบให้เธออย่างเร่าร้อนและรุนแรงทันที สองมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอจนร่างกายของเธอเปลือยเปล่า คนตัวสูงมอบสัมผัสอันเร่าร้อนและรุนแรงให้กับยุนนาบีจนเธอสลบไปหลังจากที่กิจกรรมของเขากับเธอผ่านไปหลายรอบ หากแต่ซองยอลกลับไม่อาจดับความร้อนรุ่มในหัวใจของตัวเองได้


“โธ่เว้ย!” คนตัวสูงสบถออกมาพร้อมๆกับการส่งหมัดของตัวเองใส่กำแพงห้องน้ำ สายน้ำจากฝักบัวที่ถูกเปิดให้รินรดร่างกายของเขานั้นสามารถซ่อนน้ำตาที่กำลังรินไหลของซองยอลได้เป็นอย่างดี


หากน้ำตาเป็นเครื่องหมายที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจแล้วล่ะก็ แต่สำหรับอีซองยอลในตอนนี้มันคงสื่อความหมายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


หัวใจของเขากำลังเจ็บปวด



เจ็บเสียจนซองยอลไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรกับมัน



TBC.

1 ความคิดเห็น:

  1. เห้อออออออ สงสารซองยอลก็สงสารนะ
    แต่เริ่มจะสงสารน้อยลงเพราะยัยนาบีบ้าบอนี่แหละ มยองก็คงไม่ได้เต็มใจจะแต่งเท่าไหร่หรอกมั้ง

    ตอบลบ