8th - Tears
Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Romantic Drama
Author: khanunys
A\N: - จองฟิคกันไหม? กดตรงนี้
- มีคนเคยถามเราว่าฟิคเรื่องนี้มีที่มาจากอะไร มันมาจากหนังสือ Principles of Marketing ค่ะ XD
- จะด่ามยองซูเชิญที่ #ฟิคพชน เลยนะคะ :D
- มีคนเคยถามเราว่าฟิคเรื่องนี้มีที่มาจากอะไร มันมาจากหนังสือ Principles of Marketing ค่ะ XD
- จะด่ามยองซูเชิญที่ #ฟิคพชน เลยนะคะ :D
-passionate-
คิมมยองซูกำลังจูบกับเจ้าสาว
ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาภายในอาคารสำนักงานของบริษัท
KSG อย่างรีบเร่ง
จนทำให้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบต้องหันมาให้ความสนใจอย่างเสียไม่ได้
ใบหน้าของอีซองยอลนั้นแสดงออกถึงความหงุดหงิดอยู่หลายส่วน
เป็นผลให้คนที่คิดจะเข้ามาทักทายเจ้าตัวต้องล่าถอยออกไปไม่น้อย
ซองยอลรีบรุดขึ้นไปหาท่านประธานที่ห้องทำงาน
เมื่อได้ทราบจากเลขาส่วนตัวของคิมซองกยูว่าอีกฝ่ายไม่ได้ติดประชุมและไม่มีคนเข้าพบในตอนนี้
คนตัวสูงจึงเปิดประตูเข้าไปโดยไม่คิดจะเคาะประตูก่อน
“ลมอะไรหอบนายมาได้ล่ะซองยอล”
เสียงทุ้มของรุ่นพี่ดังขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบกับเขา
ซองยอลถอนหายใจออกมาแรงๆก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าซองกยู
“เอางานมาส่งครับ”
ตอบคำถามพร้อมกับยื่นแผ่นกระดาษที่เป็นต้นฉบับของสินค้าให้กับคิมซองกยู แล้วพูดต่อ
“...และจะมาถามเรื่องงานแต่งงานของคิมมยองซู”
“อ้อ
เมื่อเช้าพี่ยังพูดไม่ทันจะจบ นายก็เงียบไปเสียก่อน” ซองกยูว่ามาเช่นนั้น
ซองยอลจึงจำเป็นต้องเอ่ยแก้ตัวเพื่อไม่ให้ท่านประธานหนุ่มต้องตั้งข้อสังเกตอะไรมาสงสัยเขา
“ผมก็ไม่ได้ยินเสียงพี่ครับ
น่าจะเป็นเพราะระบบ ผมก็เลยต้องมาถามพี่เอาตอนนี้”
“งั้นเหรอ”
นักธุรกิจหนุ่มจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลของรุ่นน้องคล้ายจะมองหาพิรุธ
“งานแต่งงานของมยองซูจะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า
พี่เองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้าเหมือนกัน”
“ทำไมถึงดูรีบร้อนแบบนั้นล่ะครับ”
ซองยอลแสร้งถาม พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง
“พี่ก็ไม่รู้”
ซองกยูตอบกลับมาสั้นๆ “อินฟินิตี้เหรอ ได้ไอเดียมาจาก ‘สร้อยเส้นนั้น’
หรือไงซองยอล”
“เปล่าครับ
ได้มาจากมยองซูน่ะ” คนหน้าหวานตอบคำถามของซองกยู
“พวกวัสดุผมเขียนอธิบายไว้ให้แล้วนะครับ จะได้กันลืมด้วย”
“พี่เห็นแล้วล่ะ
ว่าแต่ตั้งแต่กลับมาพี่ยังไม่เห็นนายใส่สร้อยเส้นนั้นเลยนะ หายไปไหนซะล่ะ”
คนเป็นพี่วกกลับมาที่เรื่องสร้อยที่ซองยอลใส่ประจำอีกครั้ง
สร้อยที่มีจี้เป็นรูปสัญลักษณ์อินฟินิตี้ที่คิมซองกยูนำมามอบให้กับอีซองยอลในวันที่คนตัวสูงจะเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส
โดยบอกแค่ว่ามีคนฝากมาให้
และจนถึงทุกวันนี้ซองยอลก็ยังไม่รู้ว่าใครคือเจ้าของสร้อยเส้นนั้น
“ผมส่งไปทำความสะอาดน่ะครับ
ทองคำขาวพอใส่นานๆแล้วมันก็ดำได้นะพี่” เสียงกลั้วหัวเราะดังลอดจากริมฝีปากอิ่ม
เมื่อเจ้าตัวเห็นว่าคิมซองกยูดูจะให้ความสนใจกับสร้อยเส้นนั้นไม่น้อย
อีซองยอลชอบสร้อยเส้นนั้นมากเพราะตั้งแต่ที่เขาได้รับมันมา
ซองยอลก็มักจะใส่มันไว้ตลอดจนมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะเขาใส่ติดต่อกันเป็นเวลานาน
คนหน้าหวานจึงตัดสินใจที่จะส่งมันไปทำความสะอาดที่ร้านเครื่องประดับ
เนื่องจากความพยายามที่จะทำความสะอาดมันด้วยตัวเองนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า
เมื่อทุกวิธีการที่เขาเสิร์ชหาจากอินเตอร์เน็ตมันไม่ได้ช่วยให้สร้อยของเขาขาวขึ้นแม้แต่นิดเดียว
“พี่ก็แค่สงสัยน่ะ
เห็นนายไม่ใส่เลย”
“พี่ก็รู้ว่าผมชอบมันแค่ไหน”
คนหน้าหวานสวนกลับในทันที “ถ้าไม่จำเป็นผมคงไม่ถอดหรอกครับ”
“นั่นสินะ”
ท่านประธานรำพึง “จริงสิ ได้ข่าวว่านายเริ่มสนิทกับคนในแผนกแล้ว?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ”
บางทีอีซองยอลก็รู้สึกคล้ายกับว่าเขากำลังอยู่ในห้องสัมภาษณ์งานอย่างไรอย่างนั้น
“ก็แค่ลองเข้าไปที่นั่นดู แล้วก็ไปช่วยงานมานิดหน่อย”
“เป็นยังไงบ้างล่ะ”
คิมซองกยูก็ยังคงเป็นรุ่นพี่ที่ห่วงใยอีซองยอลในทุกเรื่องเสมอ
“ก็ดีครับ
ที่เข้ากันได้ดีก็คงเป็นพี่ดงอู อูฮยอนแล้วก็โฮวอน”
“ดีแล้ว”
รุ่นพี่พูดพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเขาบางๆ “ออกไปข้างนอกด้วยกันหน่อยสิ
พี่ว่าพี่จะไปดูเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปงานของมยองซูซะหน่อย”
“พี่ซองกยูว่าผมแต่งตัวให้หล่อกว่าเจ้าของงานดีไหม”
ซองยอลแสร้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะคล้ายกับเขากำลังรู้สึกสนุกสนานกับสิ่งที่พูดออกไป
ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
หัวใจของเขาเจ็บปวดเสียจนซองยอลไม่รู้ว่าเขาควรจัดการกับมันอย่างไร
-
passionate –
เสียงกริ่งที่หน้าประตูห้องพักของเขาดังขึ้นทำให้ซองยอลต้องถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ
แม้เขาจะยังไม่ทันได้เดินออกไปดูว่าใครเป็นผู้มาเยือน
แต่ซองยอลกลับรู้สึกมั่นใจไม่น้อยว่าผู้มาเยือนก็คงหนีไม่พ้นคิมมยองซูคนนั้น
หัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างมิอาจต้านทาน
ซองยอลไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้
เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดและหงุดหงิดกับคำว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่นี้คืออะไร
“มีอะไร” เขาเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ติดจะไม่พอใจ
หากแต่คิมมยองซูกลับส่งยิ้มกว้างให้กับเขาพร้อมกับชูของสดในมือขึ้นมาพร้อมกับบอกเขาว่าวันนี้เจ้าตัวจะมาทำอาหารเย็นให้เขาทานอีก
ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของเขาโดยที่เขาไม่ทันได้เอ่ยท้วงหรือห้ามอีกฝ่ายเลยแม้แต่คำเดียว
“ฝึกทำอาหารให้ว่าที่ภรรยาทานหรือไง
คิมมยองซู”
ซองยอลอดไม่ได้ที่จะพูดจาประชดประชันอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในหัวใจของเขา
คิมมยองซูหันมามองซองยอลด้วยแววตาที่เขาอ่านไม่ออก
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
อีกฝ่ายเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจนซองยอลไม่สามารถอ่านอะไรจากคำพูดและแววตาของอีกฝ่ายได้เลย
“เมื่อเช้า”
ซองยอลตอบ “ถ้าพี่ซองกยูไม่บอกฉันก็คงไม่รู้ว่าคนที่ฉันมีเซ็กซ์ด้วยเมื่อคืนกำลังจะแต่งงาน...”
คนหน้าหวานหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “...ทำแบบนี้ต้องการอะไร”
“ฉันเคยบอกนายไปแล้ว”
มยองซูตอบคำถามของเขาแล้วหันกลับไปสนใจของสดที่เจ้าตัวกำลังเตรียมเพื่อทำอาหารเย็นต่อ
“ฉันต้องการนาย”
“แต่นายกำลังจะแต่งงาน!”
เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกหงุดหงิดเสียจนต้องขึ้นเสียงใส่คิมมยองซู
“ถึงฉันจะเล่นกับคนอื่นไปทั่วแต่ฉันไม่เห็นด้วยกับการนอกใจ และฉันว่าบางทีเราอาจจะต้องยุติสัญญาของเราได้แล้ว”
แผ่นหลังบางแนบสนิทไปกับตู้เย็น
เมื่อคิมมยองซูเดินเข้ามากระชากข้อมือของเขาและออกแรงเหวี่ยงจนร่างของซองยอลกระทบเข้ากับประตูตู้เย็น
“ทำไม
หรือว่านายอยากจะกลับไปหาพวกของเล่นของนาย” คิมมยองซูแสยะยิ้ม “มีใครบางล่ะ คุณนาบี
โฮวอน แล้วก็รุ่นน้องคนนั้นน่ะเหรอ หรือมีที่ฉันยังไม่รู้อีกล่ะ”
“ฉันจะไปกับใครมันก็เป็นเรื่องของฉัน”
ซองยอลกัดฟันตอบกลับไป “ส่วนนายเองก็ควรจะสนใจว่าที่เจ้าสาวของนายให้มากกว่านี้”
“ฉันจะสนใจคนที่ฉันสนใจ
อีซองยอล” มยองซูพูดตอบพร้อมกับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของพวกเขาสัมผัสกัน
ก่อนที่คิมมยองซูจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นเบาๆในตอนที่ริมฝีปากของเขาทั้งคู่กำลังจะแตะกัน
“และคนที่ฉันสนใจในตอนนี้ ก็คือนาย”
ริมฝีปากที่ประทับลงมาจนแนบสนิท
ก่อนที่คิมมยองซูจะเริ่มตอดจูบทีละน้อย คนหน้าหล่อดูดดึงกลีบปากของเขาจนซองยอลจำเป็นต้องเผยอปากออกให้อีกฝ่ายเข้าไปสำรวจได้ตามใจ
ปลายลิ้นที่รุกล้ำอย่างเอาแต่ใจทำให้คนหน้าหวานรู้สึกขนลุกไปหมดทั้งตัว
ความรู้สึกมากมายกำลังเอ่อล้นขึ้นมาจนซองยอลเริ่มมั่นใจกับตัวเองได้ทีละน้อย
ดวงตาที่ปิดสนิทรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาด้วยหยาดน้ำตาที่เริ่มจะคลอหน่วยโดยที่ซองยอลไม่ทันตั้งตัว
ริมฝีปากนุ่มจูบตอบคิมมยองซูอย่างตั้งใจ
ซองยอลอาจจะสื่ออะไรหลายๆอย่างไปกับจูบนี้...
“ข้อตกลงของเราจะยังไม่ยุติลง”
คิมมยองซูพูดประโยคที่ไม่ว่าใครมองก็จะต้องรู้สึกว่ามันเห็นแก่ตัว
หากแต่อีซองยอลกลับยอมที่จะให้อีกคนเอาเปรียบเขาได้ตามใจ
ดวงหน้าหวานทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของอีกคน
“ความสัมพันธ์ของเราจะเป็นแบบนี้ต่อไปนะ”
-
passionate –
“(ซองจง
ว่างมาเจอพี่ไหม)”
อีซองจงที่เพิ่งกดรับโทรศัพท์จากรุ่นพี่หนุ่มที่ช่วยเหลืองานของเขาจนสามารถส่งได้ทันเวลาถึงกลับต้องเลิกคิ้วด้วยความตกใจ
เสียงของปลายสายดูจะไม่สู้ดีเท่าไรนัก คล้ายกับว่าอีซองยอลกำลังคิดมากอยู่ไม่มีผิด
“ว่างครับ”
เด็กหนุ่มตอบกลับปลายสายด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความห่วงใย
เขานัดหมายสถานที่นัดพบกันอีกสองสามประโยคก่อนที่จะวางสายจากกันไป อีซองยอลจงได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจไปด้วยเมื่อหวนคิดถึงเสียงของรุ่นพี่อย่างซองยอล
มือเล็กหยิบจับของใช้จำเป็นใส่ลงในกระเป๋าแล้วรีบออกเดินทางไปยังที่ที่เจ้าตัวนัดกับซองยอลเอาไว้ทันที
เด็กหนุ่มร่างบางใช้เวลาเดินทางไม่นานเท่าไรเขาก็มาถึงสถานที่นัดพบ
คนตัวเล็กยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาจากนาฬิกาที่ใส่ประจำก่อนจะพบว่าใกล้จะถึงเวลานัดที่เขานัดกันไว้แล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นซองจงจึงพาร่างของตนเองไปยังร้านอาหารที่เป็นจุดหมายปลายทางของการนัดพบครั้งนี้
ทันทีที่เด็กหนุ่มเดินไปถึงร้านอาหารนั้น
เขาก็ได้พบกับร่างสูงของรุ่นพี่หนุ่มที่นั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว
“พี่ซองยอล”
เขาเอ่ยทักทันทีด้วยความเป็นห่วง
ฝ่ายเจ้าของชื่อที่ได้ยินเสียงเรียกก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยทักทายเขาด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มที่ไม่ว่าจะมองมุมใดซองจงก็รู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนเสียเหลือเกิน
ซองจงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ดูไม่สบายใจเลย”
“พี่กำลังคิดไม่ตก”
ซองยอลตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเครียดอยู่จริงๆ
“จำที่พี่เคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหม คนนั้นเขากำลังจะแต่งงานล่ะ”
“พี่ซองยอล...”
เด็กหนุ่มได้แต่รำพึงออกมาด้วยความตกใจ ดวงตากลมจับจ้องไปที่รุ่นพี่ด้วยความห่วงใย
“พี่ไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไรกันแน่
ซองจง”
เสียงของซองยอลดูเครียดเสียจนซองจงต้องตัดสินใจลุกจากที่นั่งของตนเองไปนั่งลงข้างกายของรุ่นพี่
มือเล็กแตะลงบนบ่าของอีกคนแล้วลูบไปมาเป็นการปลอบประโลม “พี่กำลังเจ็บปวด”
“พี่ลองถามหัวใจตัวเองดูหรือยังครับพี่ซองยอล
ว่าที่พี่เจ็บปวดมันเป็นเพราะอะไร”
คนเป็นน้องเอ่ยถามพร้อมกับยกยิ้มอ่อนโยนขึ้นบนใบหน้า
“พี่ไม่รู้”
ซองยอลดูสับสนจนซองจงนึกสงสาร “พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ ...พี่ไม่รู้”
“พี่ซองยอล
ผมรู้ฮะว่าพี่ไม่รู้ แต่ตอนนี้พี่ควรรู้ตัวได้แล้ว” มือเล็กจับลงที่ใบหน้าของรุ่นพี่พร้อมกับออกแรงบังคับให้อีซองยอลหันมาสบตาของตนเอง
นัยน์ตาสีน้ำตาลสองคู่สบกัน ก่อนที่ซองจงจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“พี่กำลังรักเขาเข้าแล้วนะครับ พี่ซองยอล”
-
passionate –
คิมซองกยูเดินเข้าสู่บริเวณงานแต่งงานหรูหราที่จัดที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง
หากแต่ดวงตาเรียวเล็กกลับเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งของน้องชายคนสนิทที่เดินหลบออกจากหน้างานไปอีกทาง
นักธุรกิจหนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะเดินตามอีกฝ่ายไป
“ซองยอล”
ซองกยูร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงที่ไม่ดังมากกนัก
“อ้าว
พี่ซองกยู” คนหน้าหวานหันกลับมาตามเสียงเรียกพร้อมกับเอ่ยทักรุ่นพี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูเกร็งๆ
แต่คนเป็นพี่ก็ไม่คิดจะตั้งคำถามอะไรให้มากความ
เพราะเขารู้จักซองยอลดีพอที่จะรู้ว่าหากซองยอลไม่อยากจะบอก
อีกคนก็ไม่มีทางจะบอกมันออกมาแม้แต่คำเดียว
“ไม่เข้างานเหรอ”
“ผมออกมาสูดอากาศน่ะฮะ”
ซองยอลตอบกลับมาก่อนที่เจ้าตัวจะเท้าแขนลงบนราวกั้นระเบียง
“ข้างในคนเยอะจนผมรู้สึกอึดอัด”
“แต่งานจะเริ่มแล้วนะ”
ท่านประธานยังหนุ่มเอ่ยท้วง “เข้างานเถอะ เข้าไปพร้อมพี่นี่แหละ”
ไม่พูดเปล่า
คิมซองกยูยื่นมือไปกุมมือของอีซองยอลเอาไว้เสียแน่น
จากนั้นจึงออกแรงดึงให้คนเป็นน้องก้าวตามหลังเขามา
ถึงแม้ซองกยูจะไม่รู้ว่าระหว่างคิมมยองซูและอีซองยอลมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่เขาก็มั่นใจไม่น้อยว่าเรื่องของสองคนนี้มันไม่มีทางเป็นเหมือนเมื่อก่อนแน่นอน
แถมซองยอลในตอนนี้ยังทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังอ่อนแอ จนซองกยูอดที่จะยื่นมือเข้าไปประคองน้องให้ลุกขึ้นอย่างเข้มแข็งไม่ได้
อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้มอบความเข้มแข็งให้กับซองยอลสักนิด
ดวงตากลมคู่หวานจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างนึกขอบคุณ
ถึงแม้ว่าตั้งแต่เรื่องราวของเขากับมยองซูนั้นก้าวล้ำความเป็นเพื่อนร่วมงานกันไปไกลเกินแก้
ซองยอลก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องเหล่านั้นให้ซองกยูรับรู้เลยแม้แต่น้อย
ทั้งๆที่ปกติแล้วซองกยูจะเป็นคนที่ซองยอลยอมเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังโดยง่ายแท้ๆ
แต่ในขณะที่ซองกยูยังไม่ได้รับรู้เรื่องใดแต่อีกฝ่ายกลับส่งผ่านความเข้มแข็งมาให้เขาผ่านทางฝ่ามือที่กุมมือของเขาไว้
เพียงเท่านี้ซองยอลก็ไม่รู้จะพูดขอบคุณรุ่นพี่คนนี้อย่างไรเสียแล้ว
“พี่ซองกยู
....ซองยอล”
เจ้าของงานในวันนี้เอ่ยทักขึ้นเมื่อซองกยูกับซองยอลเดินไปถึงบริเวณประตูทางเข้างาน
คิมมยองซูในวันนี้ดูดีเสียจนซองยอลไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอีกฝ่ายนั้นทั้งหล่อเหลาและสง่างามในชุดสูทสีขาวสว่างเช่นนั้น
คนตัวบางส่งยิ้มบางๆให้กับมยองซูก่อนจะกระชับมือที่กุมกับซองกยูให้แน่นยิ่งขึ้นจนคนเป็นพี่ต้องเหลือบมองการกระทำของเขาด้วยความแปลกใจ
“มีความสุขมากๆนะมยองซู”
คิมซองกยูเอ่ยอวยพรหัวหน้าแผนกหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นจึงใช้มือข้างที่ว่างตบเข้าที่ไหล่ของรุ่นน้องสองสามที
“ขอบคุณครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซองกยูจึงบอกมยองซูว่าขอตัวเข้าไปในงานก่อน
แล้วออกแรงดึงร่างสูงของอีซองยอลให้เดินไปพร้อมๆกัน
ในขณะที่ซองยอลกำลังเดินผ่านร่างของมยองซูนั้น คนหน้าหล่อได้ยื่นมือมาแตะกับมือของซองยอลอย่างจงใจ
แนวฟันขาวขบลงบนกลีบปากนุ่มเพื่อสะกัดกลั้นความเจ็บปวดที่กำลังแพร่กระจายอยู่ภายในหัวใจเขา
ในตอนนี้ซองยอลรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงเจ็บปวด
มันเป็นเพราะเขากำลังถูกความรักเข้ามาทักทายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่เมื่อรู้ตัวว่ารัก เขาก็ต้องพบกับความเจ็บปวด
เมื่อเจ้าของหัวใจของเขานั้นกำลังจะมีเจ้าของ
คิมมยองซูกำลังจะแต่งงาน
และในตอนนี้อีซองยอลก็ยืนอยู่ภายในงานแต่งงานของใครคนนั้น
“ซองยอล!”
เสียงเรียกอย่างสดใสทำให้ซองยอลต้องหันไปตามเสียงเรียก
ก่อนจะพบว่าเป็นจางดงอูนั่นเองที่ร้องเรียกเขา ด้านหลังของดงอูคืออูฮยอนและโฮวอนตามลำดับ
“สวัสดีครับพี่ดงอู”
ซองยอลเอ่ยทักทายคนเป็นพี่ด้วยรอยยิ้ม “อูฮยอนกับโฮวอนก็ด้วยนะ”
“สีหน้านายดูไม่ค่อยดี
นายโอเคนะซองยอล” นัมอูฮยอนถามเขาพร้อมกับทำหน้าไม่สบายใจ
จนซองยอลต้องแย้มยิ้มกว้างพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆให้อีกคนเพื่อเป็นการบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร
หากแต่อูฮยอนก็ยังคงถามต่ออยู่ดี “จริงนะ?”
“จริงสิ”
ซองยอลว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้กับหัวหน้าฝ่ายออกแบบ
อูฮยอนทำท่าเหมือนไม่เชื่อเขาเท่าไร
แต่ก็ยอมหันไปคุยกับซองกยูที่เอ่ยเรียกอูฮยอนให้เข้าไปร่วมบทสนทนา
“เป็นยังไงบ้างครับคุณซองยอล”
อีโฮวอนเป็นฝ่ายเข้ามาเอ่ยถามเขา
หลังจากที่นัมอูฮยอนย้ายไปคุยกับท่านประธานบริษัทเสียแล้ว
“โซฟาเบดเดินหน้าไปถึงไหนแล้วงั้นเหรอครับ”
“เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”
ซองยอลตอบพร้อมกับยื่นมือไปหยิบค็อกเทลสีสวยจากถาดที่บริกรถือมาบริการ
“งั้นเหรอครับ”
โฮวอนว่าพลางยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาจิบ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณซองยอล”
“ยังไงฉันก็ต้องขอบใจนายอยู่ดี
โฮวอน ถ้าไม่ได้นายฉันก็คงยังมืดแปดด้านอยู่นั่นแหละ”
เจ้าของชื่อในประโยคเมื่อครู่ถึงกลับหลุดหัวเราะออกมาให้กับสิ่งที่ได้ยิน
ชายหนุ่มร่างหนานึกขำอีซองยอลอยู่ในใจที่อีกฝ่ายมีภาพลักษณ์เรียบเฉยและดูเหมือนไม่สนใจใครหน้าไหน
แต่กลับพูดขอบคุณออกมาด้วยสีหน้าและท่าทางน่ารักๆที่ทำให้ใครต่อใครใจเต้นได้ไม่ยาก
“คุณรู้ตัวไหมครับว่าคุณน่ารักมากเลยนะ”
โฮวอนเผลอพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจเมื่อครู่อย่างไม่ทันได้ห้ามปากตนเอง ฝ่ายคนโดนชมจึงเบิกตามองคนพูดด้วยความตกใจ
ทำให้อีโฮวอนต้องรีบพูดแก้ตัว
“ผมหมายถึงว่าคุณซองยอลนิสัยน่ารักกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้น่ะครับ”
“งั้นเหรอ”
อีซองยอลเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยถาม ชายหนุ่มยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอึกใหญ่
ก่อนที่ดวงตาสีเฮเซลนัมจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเข้าเสียก่อน
ซองยอลขอตัวจากโฮวอนแล้วเดินแยกไปหาหญิงสาวคนนั้นทันที
แขนเรียวโอบรอบเอวคอดที่ถูกเน้นสัดส่วนของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยกระซิบแผ่วเบาที่ใบหู
“วันนี้คุณนาบีสวยมากเลยนะครับ”
“ค-คุณซองยอล!”
ยุนนาบีร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่ตกแต่งด้วยสารเคมีมาเป็นอย่างดีขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขินอายเมื่อตนถูกชายหนุ่มที่มักจะเข้ามาทำให้ใจเต้นแรงชมเอาซึ่งๆหน้า
“ครับ ผมเอง”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นที่มุมปาก
แขนเรียวโอบกอดร่างของหญิงสาวให้ชิดกับร่างกายของตนเองมากยิ่งขึ้น
ยามที่เห็นว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวกำลังเดินขึ้นเวทีไปด้วยกัน
โดยที่เจ้าสาวนั้นควงแขนฝ่ายเจ้าบ่าวเอาไว้ไม่ปล่อย
ถึงแม้ดวงตาของเขาจะลอบมองคนบนเวทีอยู่ก็ตาม
หากแต่ซองยอลก็ยังกระซิบแผ่วเบาที่หูของนาบีต่อ “ผมคิดถึงคุณนาบีมากเลยนะครับ”
“ดิฉันก็คิดถึงคุณค่ะ”
หญิงสาวตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่เขินจัดจนซองยอลต้องหัวเราะในลำคอออกมา
“ตอนนี้ผมคงต้องกลับไปอยู่กับพี่ซองกยูแล้ว”
ซองยอลพูดขึ้นเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา “ยังไงถ้าถึงเวลาเลิกงานแล้ว
เดี๋ยวผมไปส่งคุณนะครับ”
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของซองยอล
เรียวสีเลือดให้ปรากฏบนใบหน้าของยุนนาบีได้ไม่ยาก
เจ้าหล่อนพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบตกลงคำพูดเชิงถามของซองยอล
เมื่อหนุ่มหน้าหวานได้รับคำตอบนั้นเรียบร้อยแล้ว
ซองยอลจึงขอตัวเดินกลับมาหาคิมซองกยูที่บ่นเขาราวกับคนแก่
กิจกรรมของงานเลี้ยงแต่งงานยังคงดำเนินไปตามระเบียบการของมัน
หากแต่อีซองยอลที่รู้สึกอึดอัดเพราะสายตาของคิมมยองซูที่มักจะมองสบกับเขาอยู่บ่อยครั้ง
คนหน้าหวานจึงตัดสินใจลุกออกจากงานเลี้ยงออกมารับอากาศที่ปลอดโปร่งด้านนอกแทน
“ออกมาทำอะไร”
เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นหลังจากที่ซองยอลออกมาได้เพียงไม่นาน
“อยู่ข้างในมันอึดอัดนิดหน่อย
ฉันก็เลยออกมาสูดอากาศ” ซองยอลตอบกลับไปโดยไม่ได้หันไปมองผู้มาใหญ่ “แล้วนายล่ะ
เป็นเจ้าบ่าวก็ควรจะต้องอยู่ในงานไม่ใช่หรือไง คิมมยองซู”
“ฉันเองก็อึดอัดเป็นเหมือนกันนะ”
มยองซูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน “ซองยอล...”
“หืม”
เขาตอบกลับไปโดยยังไม่ละสายตาออกจากท้องฟ้าเบื้องหน้า
“หันมาหน่อยได้ไหม”
ซองยอลหันไปตามคำขอของมยองซู
ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่ริมฝีปากนุ่มของคนหน้าหวานถูกแนบจูบลงมาโดยที่เขาเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
จูบที่ไม่ได้มีอะไรมากเกินกว่าการแตะริมฝีปากเอาไว้
แต่หัวใจของซองยอลกลับเต้นอย่างบ้าคลั่ง
จนถึงแม้มยองซูจะขอตัวกลับเข้างานไปแล้วก็ตามที
อีซองยอลผ่อนลมหายใจออกมายาวๆแล้วเดินกลับเข้าไปในงาน
หากแต่ภาพที่เห็นจากบนเวทีก็ทำให้ดวงตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยที่เขาไม่อาจต้านทานความรู้สึกได้แม้แต่นิดเดียว
ริมฝีปากที่เพิ่งมอบจูบให้กับซองยอลเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
กำลังแนบประทับอยู่บนริมฝีปากของหญิงสาวที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่อง
ภาพที่เห็นทำให้ซองยอลได้แต่แสยะยิ้มให้กับตัวเองเป็นการเย้ยหยัน
ขายาวก้าวเดินเข้าไปในงาน คนตัวสูงเดินตรงไปที่ยุนนาบี
ซองยอลกระซิบพูดกับหญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะพาเธอออกมาจากงานอย่างรวดเร็ว
รถยนต์คันหรูแล่นฉิวอยู่บนถนนที่ในตอนนี้ค่อนข้างโล่งด้วยความรวดเร็ว
จุดหมายปลายทางของเขาในตอนนี้อยู่ที่ห้องพักของยุนนาบี
ซองยอลยื่นมือไปลูบไล้ขาเรียวสวยของหญิงสาวพร้อมกับหันไปสบตากับอีกฝ่ายเป็นครั้งคราว
เมื่อรถจอดเทียบในช่องตารางที่ลานจอดรถ
เขาก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูลงไปและให้หญิงสาวเดินนำเขาขึ้นไปที่ห้องของเธอ
ทันทีที่ประตูห้องปิดลงซองยอลก็มอบจูบให้เธออย่างเร่าร้อนและรุนแรงทันที
สองมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอจนร่างกายของเธอเปลือยเปล่า
คนตัวสูงมอบสัมผัสอันเร่าร้อนและรุนแรงให้กับยุนนาบีจนเธอสลบไปหลังจากที่กิจกรรมของเขากับเธอผ่านไปหลายรอบ
หากแต่ซองยอลกลับไม่อาจดับความร้อนรุ่มในหัวใจของตัวเองได้
“โธ่เว้ย!”
คนตัวสูงสบถออกมาพร้อมๆกับการส่งหมัดของตัวเองใส่กำแพงห้องน้ำ สายน้ำจากฝักบัวที่ถูกเปิดให้รินรดร่างกายของเขานั้นสามารถซ่อนน้ำตาที่กำลังรินไหลของซองยอลได้เป็นอย่างดี
หากน้ำตาเป็นเครื่องหมายที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจแล้วล่ะก็
แต่สำหรับอีซองยอลในตอนนี้มันคงสื่อความหมายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หัวใจของเขากำลังเจ็บปวด
เจ็บเสียจนซองยอลไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรกับมัน
TBC.
เห้อออออออ สงสารซองยอลก็สงสารนะ
ตอบลบแต่เริ่มจะสงสารน้อยลงเพราะยัยนาบีบ้าบอนี่แหละ มยองก็คงไม่ได้เต็มใจจะแต่งเท่าไหร่หรอกมั้ง