วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[OS] Eyes, nose, lips ☊ myungyeol

Eyes, nose, lips

Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, One-shot, Awkward
Rating: PG
Author: khanunys
A\N: - ชั่ววูบกว่านี้มีอีกไหม เขารู้หมดว่าฟังเพลงแล้วเกิดเป็นฟิค 5555
- ถ้าโอเคกับการสกรีมผ่านทวิตเตอร์ #knysfic สำหรับฟิคสั้นๆแบบนี้ทุกเรื่อง อัพฟิคก็จะติดแท็กนี้นะ



















And your eyes, nose, lips, it’s haunted my memories.
I can’t forget you if I try.




ลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาผ่านทางหน้าต่างที่เจ้าของห้องได้เปิดเอาไว้ ทำให้ร่างบอบบางของเจ้าของห้องชุดสุดหรูต้องขดตัวเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับตนเอง ใบหน้าสวยหวานเรียบเฉยราวกับไร้ความรู้สึก ในขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของความทรงจำครั้งเก่า



เสียงเพลงที่เปิดทิ้งเอาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาเบดลอยมาตามลม และมันก็สามารถเรียกสติของคนหน้าหวานให้กลับมาได้ในทันที



อีซองยอลผุดลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันแน่นอย่างนึกหงุดหงิดในตัวเอง หงุดหงิดเสียจนต้องยกมือขึ้นมีขยี้กลุ่มผมของตนเองเสียจนยุ่งเหยิง เมื่อความทรงจำเกี่ยวกับใครบางคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ ไม่หายไปไหนเลยแม้แต่วินาทีเดียว



ทั้งๆที่อีซองยอลคนนี้เองนั่นแหละที่บอกให้คนคนนั้นเดินจากเขาไปเสีย



...คิมมยองซู...



เมื่อไม่กี่วันก่อน อีซองยอลเพิ่งจะบอกเลิกแฟนหนุ่มที่เขาคบมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยไป เพราะซองยอลทนไม่ไหวกับความเจ้าชู้ของคิมมยองซูแฟนเก่าของตัวเอง ทนไม่ไหวที่ต้องฟังคำโกหกที่อีกฝ่ายใช้แก้ตัวเพื่อให้มันยังมีคำว่า เรา อยู่



ซองยอลรักมยองซูมาก เช่นเดียวกับที่เขารู้ว่ามยองซูเองก็รักเขามากเช่นเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ฉันคนรักแบบนี้ ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งไม่มีความมั่นคง และเอาแต่โกหกเพื่อปิดบังความผิดของตนเอง จากที่ทนได้เสมอมันก็เปลี่ยนเป็นทนไม่ไหว จากที่คิดว่าจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไปมันก็กลายเป็นสั่นคลอน



หลุมดำในใจที่ซ่อนเอาไว้จากที่มันมีขนาดเล็ก มันก็หลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป



.



.



.




“คิดจะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนเหรอ มยองซู” ซองยอลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ในขณะที่เขาทั้งสองกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ร้านอาหารประจำของพวกเขา คิมมยองซูเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของซองยอลด้วยความสงสัย “ที่มีคนอื่นแล้วมาคอยโกหกฉันว่ามันไม่มีอะไรน่ะ จะทำแบบนี้อีกนานแค่ไหนเหรอ”



คิมมยองซูหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะคว้ามือของซองยอลไปจับเอาไว้เหมือนเคย



“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” คนหน้าหล่อเอ่ยถามพร้อมกับคลึงผิวเนื้อที่มือของเขาไปด้วย “ที่ฉันบอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไรจริงๆ”



“จะทำให้ฉันเป็นเหมือนคนโง่ไปอีกนานแค่ไหนเหรอ” เสียงของเขาแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความอดทนที่ซองยอลมีตลอดมาลดลงจนน่าใจหาย ความเข้าใจที่มีให้คนตรงหน้าเสมอมาลดลงจนซองยอลเอายังอดตกใจไม่ได้ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กับคำโกหกหลอกลวงเดิมๆ มันทำให้ซองยอลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแบบนั้น



เขามีหัวใจ มีความรู้สึก และหัวใจดวงนี้มันกำลังถูกทำลายด้วยมือของเจ้าของหัวใจทีละน้อย



ซองยอลรักตัวเองมากพอที่จะถอยออกมา ไม่ให้เขาต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้



“ซองยอล...”



“ฉันไม่อยากจะฟังคำโกหกของนายอีกต่อไปแล้ว คิมมยองซู” ซองยอลพูดเสียงเบา แต่หนักแน่น “นายไม่จำเป็นต้องมาโกหกฉันอีกต่อไป เพราะเราจะจบกันตั้งแต่ตอนนี้...”



“เรารักกันไม่ใช่เหรอ ซองยอล” คำถามของมยองซูเรียกให้ดวงตากลมสวยเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาได้อย่างง่ายดาย



“ใช่ เรารักกัน” ซองยอลตอบ “แต่แค่ความรักมันไม่พอหรอกนะมยองซู หัวใจของฉันมันไม่ได้แข็งแรงมากพอที่จะทนให้นายทำร้ายแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า”



“ขอร้องล่ะซองยอล” เสียงของมยองซูสั่นเครือจนซองยอลใจหาย “เชื่อฉันอีกสักครั้งเถอะนะ มันไม่มีอะไรจริงๆ”



“ฉันก็อยากจะเชื่อนาย... แต่ฉันขอโทษนะที่ไม่สามารถเชื่อคำพูดของนายได้อีกต่อไปแล้ว” ซองยอลดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของมยองซู ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินจากไปก่อนที่น้ำตาของเขาจะไหลออกมา “เราจบกันแค่นี้เถอะนะ”



.



.



.



อีซองยอลได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความสมเพชตัวเองออกมา หลังจากที่ภาพใบหน้าของมยองซูได้ลอยกลับเข้ามาในความคิดของเขาอีกครั้ง



ดวงตาคมคู่นั้นที่คอยจ้องมองเขาอย่างอ่อนโยนและเปียมไปด้วยความรัก ดวงตาที่ไม่ว่าจะหันไปมองเมื่อไร ซองยอลก็มักจะพบว่ามยองซูกำลังจ้องมองเขาอยู่เสมอ ...แต่ในตอนนี้ซองยอลกลับพบเจอเพียงแค่ความว่างเปล่า



จมูกโด่งที่เจ้าของมันมักจะฝังมันลงบนไหล่และแก้มของเขา รวมไปถึงในยามที่มยองซูมอบความรักให้กับเขา ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดบนผิวกายของเขา ...ในตอนนี้ซองยอลกลับพบเจอเพียงลมหนาวที่ทำให้เขาสั่นสะท้าย



ริมฝีปากได้รูปที่มักจะชวนเขาคุย แย้มยิ้มและส่งเสียงหัวเราะออกมาในตอนที่เรามีความสุขด้วยกัน ริมฝีปากร้อนผ่าวที่มักจะประทับลงไปทั้งบนริมฝีปากและเรือนร่างของเขา ...แต่ในตอนนี้ซองยอลสัมผัสได้เพียงแค่อากาศแผ่วเบาที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่



...แค่นั้นเอง



ซองยอลยอมรับว่าเขาคิดถึงมยองซู ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคนคนนั้น คนหน้าหวานไม่สามารถลบเลือนมันออกไปได้เลย ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเป็นคนเลือกที่จะจบความสัมพันธ์กับมยองซู แต่สุดท้ายแล้วอีซองยอลคนนี้ก็ต้องมานั่งเสียใจกับความว่างเปล่าที่ต้องเผชิญเพียงลำพัง



เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้มยองซูจะเป็นอย่างไรบ้าง จะคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า สิ่งเดียวที่ซองยอลรู้ก็คือเขาคิดถึงคิมมยองซูจับใจ และความทรงจำที่มีร่วมกันระหว่างเขากับมยองซูนั้นมันยังคงหลอกหลอนซองยอลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แทบทุกวินาทีเลยด้วยซ้ำ คนหน้าหวานได้ปต่ยกยิ้มเยาะเย้ยตนเองพร้อมๆกับปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา การบอกให้มยองซูเดินจากไปมันไม่ต่างอะไรกับการทิ้งขว้างหัวใจของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว



เพราะในตอนนี้ที่ไม่มีคิมมยองซู อีซองยอลก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่มีหัวใจ






And your eyes, nose, lips, it’s haunted my memories.
I can’t forget you if I die.

Feels like I’m losing my mind.





end.

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[FIC] Hoax: 1st ♠ myungyeol


HOAX
1st

Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Romantic Drama
Author: khanunys
A\N: - เราติดไฟนอลนะคะ ขอหายหัว 2 สัปดาห์มาอีกทีสอบเสร็จ(21)เลยนะ
- เราเพิ่งรู้อ่ะว่า GG+ ของเรามันมีแต่ฟิค กดติดตามเพื่อการอัพเดตได้เด้อ เผื่อเราไม่ได้ไปฝากฟิคกับบ้านไหน
- สำหรับคนที่สั่ง #fic4seasons นัดรับหนังสือวันเสาร์นี้นะคะ อย่าลืมมากันน้าาา อ้อ แล้วก็จัดส่งวันนั้นด้วยนะ! สำหรับคนที่สั่งแบบจัดส่งปณ.เอาไว้ ><
- ขอเชิญทุกท่านสกรีมและติดตามการอัพเดตที่แท็กนี้ #fichoax











- H O A X -










I want to be your love, but you have to be mine.






ร่างสูงของอีซองยอลเดินเข้ามาภายในบริษัทพร้อมกับอาการปวดหัวจากค็อกเทลที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืนนี้ หลังจากที่เขาตื่นมาในตอนเช้าแล้วโทรไปถามอูฮยอนว่าเขากลับมาถึงคอนโดของตัวเองได้อย่างไร คนน่ารักก็โดนเพื่อนสนิทบ่นยาวเหยียดจนต้องตัดพ้ออีกฝ่ายกลับไปอย่างอดไม่ได้ อูฮยอนน่ะชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองใจดีกับซองยอล แต่ความจริงแล้วอูฮยอนนั่นแหละที่ใจร้ายที่สุดเลย



“ฮื้อ ทำไมมันปวดแบบนี้ล่ะ” ซองยอลพูดพีมพำอยู่กับตัวเองในตอนที่เดินเข้ามาภายในลิฟท์ คนหน้าหวานส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่อาการแฮงค์ของตัวเอง ก่อนที่ร่างบางจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีสัมผัสเย็นๆมาแตะที่แขน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อหันกลับไปมองทางด้านหลังแล้วได้พบว่าใครคนหนึ่งกำลังยื่นเครื่องดื่มแก้อาการเมาค้างมาให้เขาอยู่



“เอ่อ ขอบคุณครับหัวหน้า” คนหน้าหวานตอบกลับไปพร้อมกับก้มศีรษะให้กับคิมมยองซูเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิมเพื่อระงับอาการหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาแบบนี้



“ถ้าคุณอีดื่มไม่ได้ เมื่อวานก็ไม่น่าจะดื่มเลยนะครับ” เสียงของคิมมยองซูที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังทำให้หัวใจของซองยอลเต้นรัว นับตั้งแต่วันที่เขาสนใจและตกหลุมรักคิมมยองซู มันก็ผ่านมาราวสิบปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับคนคนนี้ ได้ฟังเสียงของคิมมยองซูที่กำลังพูดกับเขาอย่างเจาะจง



“แต่ถ้าไม่รับมามันก็จะเป็นการทำลายน้ำใจนี่ครับ” ซองยอลตอบกลับไปเบาๆ



“บอกเหตุผลกลับไปก็จบแล้วครับ” คนหน้าหล่อสวนกลับมาทันที แต่ยังไม่ทันที่ซองยอลจะได้แก้ตัวอะไรกลับไปอีก ประตูลิฟท์ก็เปิดขึ้นในชั้นที่ตั้งของแผนกจัดซื้อ คนน่ารักมองตามแผ่นหลังของมยองซูที่เดินออกจากลิฟท์ไปแล้วก่อนจะกดยิ้มเล็กๆที่มุมปากของตัวเอง



ถึงแม้จะเป็นในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง แต่คำพูดที่แฝงความห่วงใยและใส่ใจของคิมมยองซูก็ทำให้หัวใจของซองยอลพองโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความดีใจตีตื้นขึ้นมาในอกจนซองยอลเองก็ยังรู้สึกตกใจ แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ได้พูดคุยแม้อาจจะเป็นเรื่องงาน ได้มองเห็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของคนคนนั้น แค่นี้อีซองยอลก็พอใจแล้ว








- H O A X –








ดวงตาเรียวรีของนัมอูฮยอนจ้องมองใหน้าสวยหวานของซองยอลอย่างจับผิด ตั้งแต่เพื่อนตัวสูงของเขาเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของซองยอลยังคงไม่หายไปไหนเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งๆที่เมื่อเช้านี้ตอนคุยโทรศัพท์กัน ซองยอลยังมีทีท่าว่าเจ้าตัวจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่หุบยิ้มเสียทีเล่า



“ซองยอล” อูฮยอนเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆกัน



“ว่า” อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ โดยไม่คิดจะหันมามองเขาแม้แต่น้อย จนคนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะทาบมือไปที่สองข้างแก้มของซองยอล แล้วออกแรงหันหน้าของอีกคนให้จ้องมองมาที่ตนเอง



“เมื่อเช้ามีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงยิ้มไม่หุบแบบนี้”



“เมื่อเช้าฉันได้คุยกับมยองซูที่ลิฟท์น่ะ เขาให้เจ้านี่มาด้วยนะ” มือเรียวสวยที่ยกขวดเครื่องดื่มแก้เมาค้างขึ้นมาอวดให้เขาดู รอยยิ้มน่ารักที่ปรากฏบนใบหน้า น้ำเสียงที่แสนสดใสพร้อมกับดวงตาที่ทอประกายความสุขอย่างเปี่ยมล้นของคนตรงหน้า มันทำให้อูฮยอนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้เขาจะชอบรอยยิ้มของซองยอลมากแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อได้รู้ว่าคนที่ทำให้เกิดรอยยิ้มนั้นคือคิมมยองซู หัวใจของเขามันก็เจ็บปวดไปหมด เพราะทุกครั้งที่ซองยอลยิ้มให้เขา คนหน้าหวานไม่เคยดูมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย



“แล้วคุยอะไรกันไปบ้างล่ะ” อูฮยอนเอ่ยถาม เพราะเขารู้ดีว่าซองยอลเป็นคนยังไง และรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้เขาไม่ได้ถาม อีกไม่นานซองยอลก็จะเล่าให้เขาฟังเอง และความเจ็บปวดมันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร คนตัวเล็กนั่งฟังซองยอลเล่าเรื่องราวสั้นๆของเหตุการณ์ที่คนหน้าหวานได้พูดคุยกับคิมมยองซูไปพร้อมๆกับจัดการงานของตัวเอง จนกระทั่งซองยอลเล่าจบไปแล้ว แต่อูฮยอนกลับยังรู้สึกราวกับว่าเรื่องที่ซองยอลเล่ามานั้นมันยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขาอยู่ตลอดเวลา วนเวียนอยู่ในหัวของเขาจนอูฮยอนจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเองจนกระทั่ง...



“คุณอี ไปทานอาหารกลางวันด้วยกันไหมครับ” เสียงทุ้มของคิมมยองซูที่พูดอย่างอ่อนนุ่มอยู่ตรงหน้าอีซองยอลเป็นสิ่งที่ปลุกให้อูฮยอนหลุดออกจากภวังค์ ดวงตาเรียวของคนตัวเล็กจ้องมองใบหน้าหวานของซองยอลที่ขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยพร้อมกับทำหน้าตกใจเพราะคนคนนั้นเข้ามาชักชวน ก่อนจะเปลี่ยนไปมองคนที่เป็นหัวหน้าของตนเองด้วยความสงสัย



“ค-คือ...” ซองยอลตอบไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าคำตอบในใจของซองยอลเป็นอย่างไร
“ไปเถอะนะครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเยอะแยะไปหมดเลย” มยองซูพูดพร้อมกับส่งยิ้มอ้อนๆที่ทำให้ซองยอลใจอ่อนมาให้ คนหน้าหวานจึงพยักหน้าตกลงไป จากนั้นจึงหันมาถามความเห็นของอูฮยอนดูบ้าง



“อูฮยอนอา ไปด้วยกันไหม”



“ไม่ล่ะ นายไปเถอะ” คนตัวเล็กตอบปฏิเสธกลับไป ใครกันเล่าอยากจะไปนั่งมองคนที่ตัวเองรักมีความสุขกับการอยู่กับคนที่เขารัก ตอนนี้อูฮยอนคงทำได้เพียงแค่ยอมปล่อยให้ซองยอลได้ไปกับคิมมยองซูเสียก่อน เพื่อที่เขาจะสามารถเรียกความเข้มแข็งของตัวเองกลับมาให้ได้โดยไว และสามารถยืนอยู่ต่อหน้าอีซองยอลได้โดยไม่เจ็บปวดขนาดนี้








- H O A X –








รถยนต์คันหรูของคิมมยองซูกำลังแล่นไปบนท้องถนนที่ไม่ค่อยมีรถสักเท่าไร เพราะถึงแม้มันจะเป็นเวลาพักทานอาหารกลางวันของหลายๆบริษัท แต่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะออกมาทานอาหารข้างนอกเท่าไรนัก แต่กับคิมมยองซูแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น คนหน้าหล่อเหลือบมองใบหน้าหวานของคนที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งข้างคนขับเล็กน้อย ก่อนจะกดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก



พนักงานใหม่ในแผนกของเขา เป็นคนที่ดูดีแทบทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่หน้าตาที่ทั้งสวยหวานและดูน่ารักซุกซนอยู่ในที กริยามารยาทที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็สามารถรู้ได้ว่าคนคนนี้ถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดี การแต่งกายและสิ่งของที่อีกฝ่ายเลือกใช้ก็เหมาะกับเจ้าตัวจนเขาพอจะเดาได้ว่าอีกคนพิถีพิถันพอสมควร แต่สิ่งที่ติดใจเขามันไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกของคนคนนี้ หากแต่มันคือดวงตากลมโตที่จ้องมองมาที่เขาต่างหาก



คิมมยองซูไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา เขาเป็นคนเจ้าชู้ เขายอมรับและแน่นอนว่าเพราะเขาเป็นคนแบบนั้น ชายหนุ่มจึงสามารถอ่านสายตาของคนอื่นๆที่เขาสบตาด้วยได้ หลายครั้งหลายหนที่มยองซูจะพบกับสายตาที่บอกว่าใครคนหนึ่งกำลังตกหลุมรักเขา หากแต่สายตาของพนักงานใหม่คนนี้มันกลับแปลกออกไป



คุณอีมองเขาราวกับว่าเจ้าตัวรู้จักเขามานานแสนนาน ดวงตาหวานซึ้งที่มองมาที่มยองซูนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายทั้งที่เดาได้และเดาไม่ได้ แต่คนหน้าหล่อมั่นใจว่าเขาสามารถเดาหัวใจของคนคนนี้ได้ มยองซูมั่นใจว่าหนักงานใหม่คนนี้จะต้องชอบพอเขาอยู่เป็นแน่ หากแต่จะมากน้อยเท่าไรก็แค่นั้นเอง



“ถึงแล้วล่ะครับ” มยองซูพูดขึ้นหลังจากที่ถอยรถเข้ามาจอดในช่องที่ถูกตีเอาไว้ให้เป็นที่จอดรถ คนหน้าหล่อหันไปกดยิ้มเล็กๆให้กับคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ ก่อนที่ดวงตาคมจะมองเห็นริ้วสีแดงอ่อนๆที่ปรากฏขึ้นบนแก้มเนียน และมันทำให้คิมมยองซูต้องยกยิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยความพอใจ



เขามั่นใจว่าเขาจะต้องคิดไม่ผิด



“คุณอีเลือกมาได้เลยนะครับว่าอยากทานอะไร มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”



“อย่าเลยครับ แค่หัวหน้าพามาถึงที่นี่ผมก็เกรงใจมากแล้ว” คนหน้าหวานเอ่ยปฏิเสธขึ้นมาในทันที ทำให้มยองซูต้องหันไปจ้องมองดวงหน้าสวยของอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง



“ไม่ครับ ให้ผมเลี้ยงเถอะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างหนักแน่น ก่อนที่มยองซูจะผายมือให้ซองยอลเดินเข้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง “ทานร้านนี้เถอะครับ ผมคิดว่าคุณอีน่าจะชอบ”



“ความจริงหัวหน้าไม่เห็นจะต้องเรียกผมว่า คุณอีตลอดเวลาเลยนะครับ” คนหน้าหวานพูดเสียงเบา ในขณะที่สีหน้าของคิมมยองซูเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง



“ผมไม่อยากเรียกให้ซ้ำกับคนอื่นน่ะครับ” พูดพร้อมกับกดยิ้มที่มุมปาก “ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะมีชื่อที่เอาไว้ใช้เรียกแค่ระหว่างคุณกับผมเหมือนกันนะครับ”



“อะไรเหรอครับ?” ดวงตากลมโตที่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับร่องรอยของความสงสัยนั้นทำให้มยองซูอดไม่ได้ที่จะมองว่าคนตรงหน้านั้นช่างน่ารัก น่ารักเสียจนความน่ารักนั้นได้ทำให้เขารู้สึกต้องการคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้นไปอีก



“ผมอยากให้คุณเรียกผมว่า แอล



“แอลเหรอครับ ทำไมถึงเป็นแอลล่ะ?” ซองยอลเอ่ยถามด้วยความสงสัย คนน่ารักเอียงคอน้อยๆในขณะที่เอ่ยถาม



“เพราะผมอยากเป็น ความรัก (love)’ ของคุณไงครับ” คำพูดของมยองซูทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงในทันที ก่อนที่มันจะแดงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของคนตรงหน้า



“และผมจะเรียกคุณว่า เอ็ม เพราะผมอยากให้คุณเป็น ของผม (mine)’



อีซองยอลได้แต่นั่งหน้าแดงและขยับปากขึ้นลงคล้ายจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่สามารถพูดไปได้อย่างใจนึก หัวใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งจนเจ้าของมันยังอดตกใจไม่ได้ หากแต่สิ่งหนึ่งที่ซองยอลรู้คือจังหวะการเต้นของหัวใจของเขานั้นมันมีอะไรแฝงอยู่บ้าง มันมีทั้งความดีใจและความเจ็บปวดคละเคล้ากันไป ดีใจที่ในที่สุดคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดก็หันมามองเห็นเขาเสียที หากแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียใจที่คนตรงหน้ามองเห็นเขาได้เพียงเพราะต้องการเป็นเจ้าของเขาเท่านั้น ทว่าสำหรับอีซองยอลแล้ว ต่อให้ต้องเป็นของเล่นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของคิมมยองซู เขาก็ยอม



“คุณเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อใช่ไหมครับ” คำพูดของหัวหน้าแผนกจัดซื้อเป็นเหมือนการปิดประตูตายไม่ให้ซองยอลสามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น



ซองยอลเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของมยองซู และก่อนที่คนหน้าหล่อจะได้พูดหรือถามอะไรเพิ่มเติม เสียงแผดร้องจากโทรศัพท์เครื่องหรูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน คนหน้าหวานโค้งศีรษะน้อยๆเป็นการขอโทษที่ตนเองเสียมารยาท ก่อนที่จะลุกออกจากโต๊ะมาเพื่อคุยโทรศัพท์หลังจากที่เห็นว่าใครเป็นคนโทรมา



“ครับพ่อ” เสียงหวานกรอกลงไปที่ไมโครโฟนทันทีที่กดรับ รอยยิ้มเล็กๆถูกวาดขึ้นบนใบหน้าหวานเมื่อได้ยินเสียงพร่ำบอกว่าผู้ให้กำเนิดนั้นคิดถึงเขามากน้อยเท่าไร ก่อนที่ซองยอลจะตอบกลับไปสั้นๆว่าเขาเองก็คิดถึงบิดาเช่นเดียวกัน



“(พ่อว่าจะย้ายอูฮยอนเพื่อนของลูกให้มาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ซองยอลว่าดีไหมลูก)” คำถามจากปลายสายทำให้อีซองยอลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา



“ทำไมท่านประธานถึงมาถามพนักงานใหม่แบบนี้ล่ะครับ ใช้ไม่ได้เลยนะ” คนน่ารักพูดหยอกปลายสายเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มจริงจังขึ้นมา “ถ้าถามความเห็นของผม ผมว่าก็ดีครับ แต่ว่าพ่อควรลองให้อูฮยอนไปทำงานที่ฝ่ายนู้นเสียก่อน ไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็จะเลื่อนให้เป็นหัวหน้าเลยนะครับ”



“(โอ๊ย พ่อก็ลืมคิดไป ขอบคุณซองยอลมากนะลูก)” อีจุงยอบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเหนื่อยใจกับตัวเองที่มองข้ามเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่สร้างทั้งรอยยิ้มและเสียหัวเราะให้กับซองยอลได้เป็นอย่างดี



“(จริงสิ ซองยอล..)” น้ำเสียงของปลายสายที่เปลี่ยนไปทำให้อีซองยอลต้องหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ แล้วตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดกำลังจะพูดแทน หากแต่เมื่อได้ยินคำถามของบิดา คนหน้าหวานก็ทำได้เพียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “(ทำงานเป็นยังไงบ้างลูก)”



“พ่อไม่เชื่อใจผมเลยเหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามผู้ให้กำเนิดกลับไปสั้นๆ



“(ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ที่พ่อถามเพราะพ่ออยากรู้ต่างหากว่ามีสาวๆหนุ่มๆมาเกาะแกะลูกชายของพ่อหรือเปล่า)” คำพูดของผู้ให้กำเนิดทำให้อีซองยอลจำต้องคิดถึงหัวหน้าแผนกอย่างคิมมยองซูขึ้นมาไม่ได้ ดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงเปล่งปลั่งในทันทีที่คำพูดของมยองซูลอยกลับเข้ามาในห้วงความคิด



“ต่อให้มี อีซองยอลคนนี้ก็จะไม่เผลอใจง่ายๆหรอกครับ ตราบใดที่เขาไม่ใช่คนที่ผมรัก” คนหน้าหวานตอบกลับบิดาไปด้วยคำพูดเดิมที่เคยพูดกับผู้ให้กำเนิดมานับครั้งไม่ถ้วนและน้ำเสียงที่หนักแน่น ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเอง ซองยอลก็ยังไม่ได้บอกอีจุงยอบไปว่าคนที่เขารักมาโดยตลอดนั้นทำงานอยู่ที่แผนกนี้...



“(ถ้าอย่างนั้นซองยอลของพ่ออย่าลืมกลับมาที่บ้านด้วยนะ พ่อคิดถึงเราจะแย่อยู่แล้ว)” น้ำเสียงหงอยๆของคนเป็นพ่อทำให้ซองยอลต้องฉีกยิ้มกว้างก่อนที่คนหน้าหวานจะตกปากรับคำผู้ให้กำเนิดไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงกดวางสายแล้วเดินกลับเข้าไปภายในร้านอาหาร ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คิมมยองซูลุกออกจากโต๊ะมาเพื่อตามซองยอลให้กลับไปทานอาหารพอดี



“ผมกำลังจะออกไปตามคุณอีพอดีเลยครับ” หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อพูดบอกในทันทีที่เห็นว่าอีซองยอลกำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้าน สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกซองยอลนั้นยังคงเป็นเช่นเดิมทั้งๆที่คนตรงหน้าบอกกับคนหน้าหวานเอาไว้ว่าจะเรียกเขาในอีกชื่อหนึ่ง



“สุดท้ายก็ยังเรียกผมว่าคุณอีเหรอครับหัวหน้า” ซองยอลเอ่ยถามพลางกดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก



“ก็คุณอียังไม่ตอบรับว่าจะให้ผมเรียกแบบนั้นหรือเปล่านี่ครับ แล้วผมจะกล้าเรียกได้ยังไงกัน” มยองซูพูดพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยของคู่สนทนา จนซองยอลต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้



“ถ้าหัวหน้าอยากเรียกผมให้ไม่เหมือนคนอื่น เรียกผมว่า ยอลลี่ก็ได้นะครับ” คนน่ารักพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ พร้อมกับแย้มยิ้มอย่างน่ารักให้กับคิมมยองซู



“ชื่อนี้มีคนอื่นนอกจากผมไหมครับที่จะเรียกได้” มยองซูถาม ก่อนที่ซองยอลจะเอ่ยตอบกลับไป



“นอกจากคุณ ก็มีแค่คุณพ่อของผมเท่านั้นครับ”



“ขอบคุณนะครับ ที่ให้ผมเรียกคุณด้วยชื่อที่ดูพิเศษกว่าใคร ยอลลี่ของผม” คำพูดที่ท้ายประโยคนั้นเรียกให้ใบหน้าเนียนสวยซับสีเลือดได้เป็นอย่างดี หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งจนซองยอลจำเป็นต้องก้มหน้าก้มตาทานอาหารเพื่อปกปิดความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด



อีซองยอลไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าคิมมยองซูจะต้องรับรู้ความรู้สึกที่แอบซ่อนอยู่ภายในใจของเขาแน่ และแน่นอนว่าซองยอลดีใจที่ในที่สุดมยองซูก็มองเห็นเขาอยู่ในสายตา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กลัวว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ของเล่นคั่นเวลาของอีกคนเท่านั้น และถึงแม้จะเป็นได้เพียงแค่ของเล่นนั้นเขาก็พร้อมที่จะยอม เพราะอีซองยอลคนนี้เต็มไปด้วยความละโมบ เพียงแค่คนที่เขามอบหัวใจให้ไปหันมามองแม้เพียงนิดเดียว หากแต่เขากลับปรารถนาให้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่เขาเพียงคนเดียว อีซองยอลไม่อยากให้ดวงตาของคิมมยองซูจ้องมองไปที่คนอื่นอีกแล้ว








- H O A X –








ร่างสูงของชายหนุ่มหน้าหวานนามอีซองยอลเดินเข้าไปภายในห้องพักของตนเองที่คอนโดหรูใจกลางเมืองด้วยความเหนื่อยล้า ซองยอลอยากจะพักผ่อนให้เต็มคราบหลังจากที่ถูกคนทั้งฝ่ายเข้ามาช่วยสอนงานให้กับเขาแบบอัดแน่น เนื่องจากนัมอูฮยอนพนักงานคนสำคัญของฝ่ายจัดซื้อได้รับคำสั่งโยกย้ายให้ไปเป็นรองผู้จัดการฝ่ายการตลาดอย่างกะทันหัน และแน่นอนว่าอีซองยอลถูกนัมอูฮยอนเคืองไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเพื่อนสนิทคนนี้คิดว่าเขาไปขอร้องให้พ่อมอบตำแหน่งนี้ให้ ทั้งๆที่ความจริงแล้วท่านประธานอีต่างหากที่เป็นคนต้นคิด



คนหน้าหวานทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตากลมโตพริ้มหลับเพื่อพักสายตาจนเขาเกือบจะเข้าสู่ห้วงนิทรา หากไม่มีเสียงโทรศัพท์ที่แผดร้องจนซองยอลต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ มือเรียวสวยล้วงเข้าไปในกระเป่ากางเกงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมามองรายชื่อของคนโทรเข้า คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีที่เห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรมา ซองยอลลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับโทรศัพท์สายนี้ แต่สุดท้ายแล้วคนหน้าหวานก็ตัดสินใจที่จะกดรับ



“สวัสดีครับ” ซองยอลกรอกเสียงลงไปอย่างสุภาพ



“(ทำอะไรอยู่เหรอครับ)” คำถามจากปลายสายเรียกความสงสัยให้ปรากฏบนใบหน้าของซองยอลได้เป็นอย่างดี คิ้วที่ขมวดเข้าหากันตั้งแต่ก่อนกดรับสายนี้ขมวดเข้าหากันมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อปลายสายเอื้อนเอ่ยราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันเสียอย่างนั้น



“เอ่อ ไม่ทราบว่านั่นใครเหรอครับ” ตัดสินใจเอ่ยถามไปเพื่อตัดปัญหาและความสงสัยของตนเอง



“(โธ่ ยอลลี่ลืมผมแล้วเหรอครับ)” คำพูดที่ปลายสายใช้เรียกเขานั้นทำให้ซองยอลรู้ได้ในทันทีว่าใครคือคนที่โทรมาหาเขา



คิมมยองซู



“ห-หัวหน้า... หัวหน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ” คนน่ารักพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก หัวใจดวงน้อยเต้นดังตึกตักจนเขาได้ยินเสียงมันอยู่แผ่วๆเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วซองยอลก็ไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือในตอนนี้เขากำลังแย้มยิ้มด้วยความดีใจ



“(ทำไมไม่เรียกผมว่า แอล ล่ะครับ)” ปลายสายท้วง



“ข-ขอโทษครับ คุณ...แอล” ซองยอลพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในตอนท้ายประโยคด้วยความไม่มั่นใจและเขินอายเพราะเขาดันเผลอไปคิดถึงคำพูดที่คิมมยองซูได้พูดบอกเขาเอาไว้เมื่อตอนกลางวัน คำพูดที่ทำให้หัวใจของซองยอลเต้นไม่เป็นส่ำในทุกครั้งที่นึกถึง



“(ผมชอบตอนที่คุณเรียกผมว่าแอลนะครับ)” มยองซูพูดเสียงนุ่ม ก่อนจะเริ่มชวนซองยอลคุยเรื่องราวต่างๆอย่างเรื่อยเปื่อย จนคนน่ารักเพลิดเพลินเสียจนลืมเวลา ถ้าหากไม่มีเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นแล้วล่ะก็ อีซองยอลก็คงจะไม่ทันรู้ตัวว่าตนเองคุยโทรศัพท์กับคิมมยองซูนานเกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียว



เวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ซองยอลอดแปลกใจไม่ได้ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกันบ้างถึงได้ใช้เวลาในการโทรนานขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นคนหน้าหวานก็ไม่ได้กดวางสายอีกฝ่ายในตอนที่เขากำลังเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน



“คุณแอล ผมคงต้องวางแล้วล่ะครับ พอดีอูฮยอนมาหาน่ะ” ซองยอลบอกให้ปลายสายได้รับรู้หลังจากที่เปิดประตูรับเพื่อนสนิทที่นัดกันเอาไว้ตั้งแต่ตอนเลิกงานแล้วว่านัมอูฮยอนจะมาหาเขาเพื่อทำอาหารเย็นทานพร้อมกัน โดยที่คนหน้าหวานไม่ทันได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนัมอูฮยอนแม้แต่น้อย คนตัวเล็กจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มในขณะที่พูดคุยโทรศัพท์ของซองยอลด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ใครกันหนอที่ซองยอลกำลังคุยอยู่ด้วย ทำไมถึงทำให้อีซองยอลดูมีความสุขเสียขนาดนั้น



“คุยกับใครเหรอ” คนตัวเล็กรีบถามในทันทีที่เห็นว่าซองยอลวางสายจากคนที่เจ้าตัวคุยอยู่เรียบร้อยแล้ว



“มยองซูน่ะ” คำตอบสั้นๆจากอีซองยอล ทำให้นัมอูฮยอนรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังต้องฝืนยิ้มให้กับเพื่อนสนิทที่ดูมีความสุขอย่างมาก



เพราะนัมอูฮยอนยืนเคียงข้างอีซองยอลในฐานะเพื่อนมาโดยตลอด รับรู้ความรักที่ซองยอลมีให้กับใครอีกคนเป็นอย่างดี และอูฮยอนยังรู้ตัวเองอีกว่า ต่อให้เขาก้าวพ้นเส้นของคำว่าเพื่อนออกไปและพยายามมากขนาดไหน หัวใจของอีซองยอลก็ไม่มีทางเป็นของเขา



“ไอ้บ้านั่นมาจีบนายเหรอ” อูฮยอนถามออกไปตรงๆ เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังความไม่ชอบใจของตัเองเอาไว้ เพราะซองยอลเองก็รู้ดีว่าอูฮยอนไม่ชอบคิมมยองซูมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะในตอนนี้...



“ไม่น่าจะใช่หรอกอูฮยอนอา” ซองยอลย่นจมูกก่อนพูด ภาพที่แสนน่ารักนี้ยังคงมีอูฮยอนคนเดียวที่ได้เห็นใช่หรือเปล่า



“อย่าไปทำท่าแบบนี้ใส่ใครนะรู้ไหม” คนตัวเล็กพูดออกไปอย่างลืมตัว



“ทำไมอ่ะ มันน่ารักเกินไปเหรอ” ไม่บ่อยนักที่อีซองยอลจะพูดล้อเล่นทำตัวเป็นคนที่หลงใหลได้ปลื้มในรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองเช่นนี้ เพราะอย่างนั้นอูฮยอนจึงจำเป็นต้องหยอกล้อเพื่อนสนิทของตนเองกลับไปบ้าง



“ไม่น่ารักเลยสักนิดเดียว”



ทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาเห็นด้วยกับที่ซองยอลพูดออกมาทุกประการ



“เดี๋ยวเถอะนัมอูฮยอน!” ซองยอลชูกำปั้นขึ้นมาคล้ายกับว่าเจ้าตัวพร้อมที่จะต่อยอูฮยอนได้ทุกเมื่อ



“กล้าตีฉันเหรอ ระวังจะอดข้าวเย็นนะ”



“งื้อ ไม่เอานะอูฮยอนอา ถ้าตัวเล็กไม่ทำข้าวเย็นให้ซองยอลกิน ซองยอลต้องแย่แน่ๆเลย” คนน่ารักรีบวิ่งเข้าไปคล้องแขนเพื่อนตัวเล็กแล้วเอาศีรษะของตนเองถูไถไปกับไหล่เล็กพร้อมกับเอ่ยอย่างออดอ้อน ซึ่งท่าทางเช่นนั้นก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวใจอย่างมีความสุขของนัมอูฮยอนได้เป็นอย่างดี คนตัวเล็กมีความสุขเหลือเกินที่ซองยอลยังคงออดอ้อนเขาอยู่แบบนี้ ถึงแม้หัวใจดวงนี้จะเต้นอย่างเจ็บปวดไปพร้อมๆกับมีความสุขอยู่ก็ตาม









- H O A X –








รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานของอีซองยอลในทันทีที่คนน่ารักเห็นข้าวกล่องที่ถูกแปะกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ซองยอลยื่นมือไปดึงกระดาษแผ่นเล็กออกมาเพื่ออ่านข้อความบนนั้นก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกว้างยิ่งกว่าเดิมจนดวงตากลมโตนั้นหยีลงอย่างน่ารัก



อาหารเช้าสำคัญนะครับ อย่าลืมทานล่ะยอลลี่ของผม จาก แอล



หลังจากอ่านข้อความบนกระดาษเรียบร้อยแล้วคนน่ารักก็เตรียมตัวที่จะนั่งลงเพื่อทานอาหารกล่องนี้ หากแต่เพื่อนที่ทำงานในแผนกเดียวกันกลับรีบเดินมาบอกเขาว่า หัวหน้า เรียกพบด่วน ซองยอลได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจกับคำพูดนั้น ก่อนที่เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์เครื่องหรูจะดังขึ้นให้เขาหันไปให้ความสนใจ



เอากล่องข้าวมาด้วยนะครับ มาทานข้าวเช้าด้วยกันนะ



ชั่วขณะหนึ่งอีซองยอลเผลอวาดฝันไปว่า หากวันหนึ่งเขากับคิมมยองซูตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกัน ทานอาหารทุกมื้อพร้อมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน มันจะมีความสุขขนาดไหนกันหนอ คนหน้าหวานกดยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะเคาะประตูห้องของผู้จัดการแผนก แล้วเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงร้องอนุญาตดังมาจากด้านใน



“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู เรียกให้อีซองยอลต้องหันไปมองข้างกายด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะพบว่าเป็นคิมมยองซูนั่นเองที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของเขา ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะมายืนแอบอยู่ใกล้ๆกับประตูได้พักใหญ่แล้ว



“อรุณสวัสดิ์ครับ หัวหน้า” ซองยอลพูดเบาๆ



“ผมบอกให้คุณเรียกผมว่า แอล ไม่ใช่เหรอครับ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อถูกส่งมาจากคิมมยองซู พร้อมๆกับคนพูดที่ทำหน้าบึ้งแล้วเดินหนีไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ร้อนให้ซองยอลต้องรีบเดินตามไปหยุดยืนอยู่ที่อีกฝั่งของโต๊ะ



“ขอโทษครับ คุณแอล”



“ผมไม่ได้โกรธหรอกครับ นั่งเถอะจะได้ทานข้าวเช้านะ” ซองยอลไม่ได้พูดอะไรเพื่อตอบกลับไป คนน่ารักทำเพียงทรุดตัวลงนั่งแล้วเปิดกล่องข้าวออกเพื่อทานอาหารเช้าที่ได้มาจากคนตรงหน้าเงียบๆ จนกระทั่งคิมมยองซูเลือกที่จะทำลายความเงียบขึ้นมาเสียเอง



“ยอลลี่...”



“ครับ?” ชายหนุ่มหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เอ่ยเรียกตัวเองเมื่อครู่ ก่อนจะเอียงคอน้อยๆด้วยความสงสัย หากแต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อสัมผัสนุ่มหยุ่นถูกประทับลงบนริมฝีปากนุ่ม แก้มเนียนใสขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนที่เปลือกตาของเขาจะค่อยๆปรือแล้วปิดลงในที่สุด จนกระทั่งสัมผัสบางเบาที่ริมฝีปากถูกทอดถอนออกไป อีซองยอลจังลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความเขินอาย และหัวใจที่เต้นแรงเพราะประโยคนั้นของคิมมยองซู



“ผมชอบคุณนะ”








TBC.