วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

[FIC] Passionate: 1st ☆ Myungyeol


Passionate
1st - Encounter

Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Romantic Drama
Author: khanunys







-passionate-




When I first saw you, my heart shouts it out loud.
"You gotta be mine."





ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งก้าวเดินเข้ามาภายในตึกสูงตระหง่านอย่างมั่นคง ใบหน้าหวานเรียกทั้งสายตาของผู้หญิงและผู้ชายแถวนั้นให้หันมาให้ความสนใจ เพราะดวงหน้ารูปไข่ที่รองรับส่วนประกอบต่างๆบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโตที่ล้อมรอบไปด้วยขนตาเป็นแพรงอนยาว จมูกโด่งเล็กที่รั้นตรงปลายเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มน้ำสีชมพูสดตามธรรมชาติ รวมไปถึงแก้มเนียนใสที่ยกขึ้นยามที่เจ้าของมันขยับรอยยิ้ม ส่วนสูงที่ถือว่ามากกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ยิ่งเรียกให้คนรอบข้างให้ความสนใจ


"ขอโทษนะครับ พอดีว่าผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแล้วได้รับการติดต่อจากคุณคิมซองกยูให้มาที่นี่ ไม่ทราบว่าผมต้องไปที่ไหนต่ออย่างนั้นหรือครับ" เสียงทุ้มที่เจือความหวานดังขึ้นตรงหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งเจ้าของเสียงนั้นได้วาดรอยยิ้มจางๆไว้บนใบหน้าเพื่อบอกกล่าวถึงมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของตน แต่กลับสามารถเรียกอัตราการเต้นของหัวใจอันผิดปกติของพนักงานสาวตรงหน้าได้ไม่น้อย แม้ชายหนุ่มตรงหน้าจะดูงดงามราวกับสตรี หากแต่ยังคงความเป็นบุรุษเอาไว้ให้สาวเจ้าใจสั่นได้มากโข


"อ-เอ่อ ขอทราบชื่อได้ไหมคะ จะได้ตรวจสอบจากตารางนัดพบของคุณซองกยูได้"


"ได้ครับ" ชายหนุ่มหน้าหวานตอบคำถามเสียงนุ่ม รอยยิ้มละมุนละไมยังคงประดับอยู่บนใบหน้าจนสาวเจ้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ต้องการความช่วยเหลือ "ซองยอลครับ ผมชื่อ อีซองยอล"


"ค่ะ คุณอีซองยอลนะคะ" พนักงานประชาสัมพันธ์ทวนชื่อของหนุ่มหน้าหวานซ้ำพร้อมกับตรวจสอบตารางนัดหมายของซองกยูตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ "คุณอีซองยอล คุณซองกยูบอกเอาไว้ว่าถ้าคุณมาถึงเมื่อไหร่ให้ไปพบที่ห้องทำงานได้ทุกเมื่อค่ะ"


เมื่อได้คำตอบจากพนักงานประชาสัมพันธ์ คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเข้าหากันทันทีด้วยความสงสัยเมื่อได้รับทราบว่าคิมซองกยูบอกให้เขาไปพบที่ห้องทำงานได้ทุกเมื่อ เพียงแต่อีซองยอลคนนี้ไม่รู้น่ะสิว่าห้องทำงานของซองกยูนั้นอยู่ที่ไหน ฟันขาวขบลงบนกลีบปากนุ่มเมื่อเจ้าตัวต้องการใช้ความคิด ก่อนที่ซองยอลจะแย้มรอยยิ้มกว้างออกมาแล้วจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างออดอ้อน


"รบกวนช่วยพาผมไปหน่อยได้ไหมครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าต้องไปยังไง" ใบหน้าหวานฉายแววเศร้าสร้อยจนพนักงานประชาสัมพันธ์ใจอ่อนยวบ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะต้องรู้สึกคล้ายกับว่าตนกำลังจะละลายเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าอ้อนซ้ำอีกคราว "นะครับ"


"อ-เอ่อ ก็ได้ค่ะ" สาวเจ้าตอบตกลงด้วยความประหม่า ก่อนที่เธอจะหันไปบอกเพื่อนที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันว่าเดี๋ยวเธอจะกลับมา "เชิญทางนี้ค่ะคุณซองยอล"


บุคลิกและท่าทางของพนักงานตรงหน้าทำให้ซองยอลยิ้มชอบใจ เขานึกสรรเสริญรุ่นพี่คนสนิทอยู่ในใจเนื่องจากกริยามารยาทรวมไปถึงบุคลิกของคนตรงหน้านั้นบ่งบอกว่าต้องถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ท่าทางรุ่นพี่ของเขาที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทจะเข้มงวดไม่น้อย


"คุณ..." ซองยอลส่งเสียงเรียกพลางทำหน้าสงสัย


"นาบีค่ะ ดิฉันชื่อยุนนาบี" หล่อนหันกลับมาตอบอย่างนอบน้อม


"คุณนาบีทำงานที่นี่มานานหรือยังครับ" ซองยอลเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือไปกดลิฟท์ก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าจะกดได้ทัน


"ถ้าหมายถึงได้ทำงานจริงๆก็ไม่นานเท่าไหร่ค่ะ แต่ถ้ารวมเวลาฝึกงานก็นานระดับหนึ่งนะคะ"


"คุณซองกยูคงจะเข้มงวดกับพนักงานที่ทำงานด้านบริการมากสินะครับ" ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางผายมือให้นาบีเดินเข้าไปภายในลิฟท์ก่อน


"ทางบริษัทมีนโยบายที่เข้มงวดกับทุกแผนกค่ะ" เจ้าหล่อนตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนจาง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูลิฟท์เปิดขึ้นในชั้นที่เป็นจุดหมายพอดี "เชิญค่ะคุณซองยอล"


"เชิญคุณนาบีก่อนเถอะครับ" ซองยอลตอบกลับแล้วผายมือให้หญิงสาวเดินนำออกไปก่อน ดวงตากลมโตฉายแววประหลาดยามจับจ้องแผ่นหลังของหญิงสาวตรงหน้า เจ้าตัวจะแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแทบไม่ทันเมื่อสาวเจ้าหันกลับมา


"ถึงแล้วค่ะคุณซองยอล"


"ขอบคุณมากนะครับ" หนุ่มหน้าหวานกล่าวพลางก้าวเข้าไปประชิด ปลายจมูกโด่งสัมผัสกับพวงแก้มของยุนนาบีเพียงแผ่วเบา แต่นั่นก็เรียกความร้อนบนใบหน้าของหญิงสาวพร้อมกับเสียงร้องด้วยความตกใจได้เป็นอย่างดี


"คุณซองยอล!" ดวงตากลมที่โดยรอบถูกตกแต่งมาเป็นอย่างดีเบิกกว้าง เป็นผลให้'เจ้าของผลงาน'ต้องหลุดหัวเราะออกมาเพียงแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยแก้ตัว


"คุณคงไม่ชินกับการกระทำแบบนี้ ผมขอโทษนะครับ" ซองยอลขยับรอยยิ้มใสซื่อให้ปรากฏบนใบหน้า "พอดีผมอยู่ที่ต่างประเทศมานานก็เลย..."


"ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ดิฉันขอตัวนะคะ" นาบีพูดก่อนจะเดินกลับไปทางเดิม ในขณะที่อีซองยอลทำเพียงมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่อยู่ในตำแหน่ง'ว่าที่ของเล่น'คนแรกของเขาก่อนจะกดยิ้มเจ้าเล่ห์


"แล้วเจอกันใหม่นะครับ คุณนาบี" หนุ่มหน้าหวานพูดเสียงเบากับตนเอง จากนั้นซองยอลจึงหลุดจากภวังค์เมื่อเลขาสาวหน้าห้องของคิมซองกยูเดินเข้ามาทักเขาเสียก่อน


"คุณอีซองยอลใช่ไหมคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ คุณซองกยูกำลังรอคุณอยู่เลยค่ะ"


"ครับ"








-passionate-









อีซองยอลเดินเข้าไปในห้องทำงานของคิมซองกยูด้วยทีท่าที่แสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง ทุกก้าวที่เขาก้าวเดินนั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่น จนเจ้าของห้องอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับท่าที่เช่นนั้น


ซองยอลเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก


"สวัสดีครับ คุณอีซองยอล" คิมซองกยูเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านหน้า จนเจ้าของชื่ออดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจในท่าทางที่เหมือนกับนักธุรกิจใหญ่กำลังติดต่อเรื่องธุรกิจกันของคนตรงหน้า แต่ถึงแม้ว่าคิมซองกยูจะวางมาดมากกว่านี้ คนอย่างอีซองยอลก็ไม่มีทางตกลงไปในหลุมที่เรียกว่าภาพลวงตาของคิมซองกยูง่ายๆ


"สวัสดีครับ คุณคิมซองกยู" ซองยอลยื่นมือไปจับกับชายหนุ่มรุ่นพี่แล้วพูดอย่างเป็นทางการเหมือนกับที่อีกฝ่ายเริ่มก่อน จากนั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซองยอล ก่อนจะตามด้วยซองกยู


"ไม่ได้เจอกันนาน เป็นยังไงบ้างล่ะเราน่ะ" ซองกยูเอ่ยถามรุ่นน้องคนสนิท แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พนักตัวใหญ่เช่นเดิม ซองยอลยกยิ้มให้เพียงเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของซองกยูอย่างผ่อนคลาย


"สบายดีครับ" หนุ่มหน้าหวานตอบพลางใช้สายตากวาดมองทั่วห้องทำงานของซองกยู “พี่คงไม่ค่อยสบายเท่าไรใช่ไหมล่ะ งานดูหนักนะครับ”


“นิดหน่อยน่ะ” ประธานบริษัทหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนที่ซองกยูจะยกแขนขึ้นมาตั้งศอกบนโต๊ะทำงานเพื่อใช้เท้าคางมองหน้าอีซองยอล “ว่าแต่นายเถอะ จะตอบรับข้อเสนอของพี่ได้หรือยัง”


“ผมมาถึงนี่คงไม่ต้องถามแล้วมั้งครับ” ซองยอลตอบกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ “แต่พี่ต้องมี ของเล่น ให้ผมด้วยนะ”


“นายนี่น้า” ซองกยูทอดเสียงยาวก่อนจะปิดท้ายด้วยการผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ “แล้วแต่นายเลยซองยอล ขอแค่อย่าทำให้บริษัทต้องวุ่นวายก็พอ”


“ต้องแบบนี้สิครับ ถึงน่าร่วมงานด้วยหน่อย” ซองยอลว่าพลางลุกขึ้นยืดกายเต็มความสูง จากนั้นจึงก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของบริษัทได้โดยง่าย “ต้องรบกวนให้ท่านประธานช่วยบอกหน้าที่ของผมด้วยนะครับ”
“บางทีตำแหน่งที่พี่จะจับนายยัดเข้าไปอาจจะเป็นตัวนายมากที่สุดแล้วซองยอล พี่คิดว่านายคงจะชอบ”


“...” อีซองยอลไม่ได้พูดอะไรเป็นการตอบกลับท่านประธานคิม ชายหนุ่มหน้าหวานทำเพียงยกมือขึ้นเตะกระจกแล้วเคาะเป็นจังหวะยามที่เห็นรถยนต์วิ่งเข้าออกด้านล่างของตึก ซองกยูทำได้เพียงทอดถอนหายใจให้กับนิสัยที่ไม่ว่าเมื่อไรก็คงรักษาไม่หายของอีซองยอล


Production Design” ซองยอลหันมาหาซองกยูทันทีที่ได้ยินคำนั้น ก่อนที่รอยยิ้มหวานจะปรากฏขึ้นบนดวงหน้าหวานเมื่อได้ยินประโยคถัดมาที่เป็นเหมือนกับการยืนยันสิ่งที่เขาตีความไว้ก่อนหน้านี้ “แผนกที่พี่จะให้นายไปอยู่”


“ถ้าพี่จับผมไปอยู่แผนกอื่น คนที่ลงสนามแย่งชิงผมกับพี่ก่อนหน้านี้คงจะบุกบริษัทเพื่อมาฉีกอกพี่โดยเฉพาะล่ะมั้งครับ พี่ซองกยู” ซองยอลพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก เมื่อคิดถึงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ที่สายโทรศัพท์ของเขาแทบไหม้ เพราะทั้งพี่ชายคนสนิทที่หวังจะได้เขาไปเป็นพนักงงานในบริษัทแล้ว ยังมีประธานบริษัทอีกหลายๆบริษัทเลยทีเดียวที่อยากได้ตัวอีซองยอลไปร่วมงานด้วย


อีซองยอล ชายหนุ่มวัย 26 ปีที่เพิ่งเรียนจบปริญญาโทด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์จากประเทศฝรั่งเศสเมื่อปลายปีที่แล้ว ชายหนุ่มที่ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูมีอนาคตไกลเพราะความคิดสร้างสรรค์ของเจ้าตัว ทำให้บริษัทมากมายสนใจที่จะร่วมงานกับอีซองยอล ทั้งในแถบยุโรปและเอเชีย เพียงแต่อีซองยอลนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจยาก เมื่อเจ้าตัวปฏิเสธทุกโอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้โดยบอกกับทุกคนว่าเขาจะกลับบ้านที่ประเทศเกาหลีแล้ว


มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดูแปลกประหลาด หากบริษัทใดๆต้องการตัวคนมีฝีมือมาร่วมงานด้วยแล้วล่ะก็ ข้ออ้างเพียงแค่นี้คงไม่ใช่เรื่องน่าเชื่อถือเท่าไรนัก แต่เพราะคำว่าประเทศเกาหลีทำให้หลายๆบริษัทตีความไปว่า อีซองยอลเลือกที่จะทำงานร่วมกับบริษัทสัญชาติเกาหลีเสียกระมังจึงยอมล่าถอยกันไป


ซึ่งบริษัทสัญชาติเกาหลีที่ว่าก็รวมไปถึงบริษัทของคิมซองกยู รุ่นพี่สมัยเรียนของอีซองยอลด้วย บริษัท KSG ของคิมซองกยู เป็นบริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับของตกแต่งบ้านขนาดเล็กไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าการทำธุรกิจในตลาดที่มีความกว้างขวางจนาดนี้ หากไม่มีสินค้าที่แปลกหรือแหวกแนวไปจากคู่แข่งมันย่อมเป็นการยากที่บริษัทนี้จะมียอดขายที่ดีจนกลายเป็นผู้นำตลาดได้


แต่สุดท้ายแล้วคิมซองกยูก็สามารถดึงตัวอีซองยอลมาร่วมงานด้วยได้


ประธานบริษัทหนุ่มนึกขอบคุณตัวเองที่รู้จักกับคนตัวสูงมาตั้งแต่สมัยมัธยม อีกทั้งบ้านของเขาทั้งสองคนยังอยู่ในละแวกที่ไม่ไกลกันเท่าไร ซองกยูและซองยอลจึงค่อนข้างสนิทกันไม่น้อย อีกทั้งไลฟ์สไตล์ของซองยอลกับซองกยูยังไม่ค่อยแตกต่างกันสักเท่าไรด้วย การโคจรมาพบกันของทั้งคู่จึงกลายเป็นวงจรที่คล้ายกับการพึ่งพาอาศัยกัน


“ถ้าเอานายมาทำงานแผนกอื่นพี่ก็ล่มจมแล้วซองยอล” ซองกยูถอนหายใจออกมายาวๆพลางพูดตอบกลับซองยอลไป “แล้วแผนกของนายน่ะ ต้องทำงานร่วมกับแผนก Production Plan นะ”


“ผมขอออกแบบผลงานออกมาเรื่อยๆโดยไม่ต้องร่วมงานกับคนอื่นไม่ได้เหรอพี่” ซองยอลร้องท้วงขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าตนต้องไปร่วมงานกับอีกแผนก มนุษย์ปกติทั่วไปไม่เคยหวาดหวั่นกับการทำงานรวมกลุ่ม หากแต่อีซองยอลนั้นมิได้ใกล้เคียงกับคำว่ามนุษย์ปกติสักเท่าไร ดังนั้นการให้เขาไปทำงานร่วมกับคนอื่นดูจะเป็นเรื่องสิ้นคิดไม่น้อย


ไม่ต่างจากการวางระเบิดบริษัทของตนเองสักเท่าไร


“พี่ว่าแล้วว่านายจะต้องมีปัญหาเรื่องนี้” ซองกยูพูดพลางกดยิ้มรู้ทันให้กับอีกคน “ไม่ต้องห่วงซองยอล คนแผนกนี้จะรับมือนายได้ดี และที่สำคัญ พี่จะให้นายร่วมงานกับหัวหน้าแผนกเพียงคนเดียว เพื่อตัดปัญหา”


“เดี๋ยวนะพี่ซองกยู พี่จะบอกว่าผมเป็นตัวปัญหาเหรอ” ซองยอลร้องแทรกขึ้นมาเมื่อรู้สึกเหมือนกับโดนคนเป็นพี่พูดต่อว่า หาว่าเขาเป็นคนชอบสร้างปัญหาเสียอย่างนั้น


“พี่ไม่ได้พูดนะ” ท่านประธานบริษัทตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “นายพูดเอง”


อีซองยอลทำได้เพียงอ้าปากพะงาบๆ เพราะเจ้าตัวไม่สามารถหาคำพูดได้มาต่อล้อต่อเถียงกับรุ่นพี่ตรงหน้านี้ได้ คิมซองกยูจึงหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางเช่นนั้นของหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนที่ท่านประธานบริษัทจะจับสูทให้กระชับเข้ากับตัวแล้วเริ่มต้นการพูดคุยเรื่องงานต่อ


“หัวหน้าของแผนก Production plan คือคิมมยองซู” อีซองยอลหันมามองหน้าคนพูดด้วยดวงตาที่เรียบเฉย ชื่อของหัวหน้าแผนกที่เขาต้องร่วมงานด้วยนั้นทำให้ซองยอลรู้สึกกดดันขึ้นมาไม่น้อย เนื่องจากเมื่อสมัยมัธยมนั้นซองยอลสร้างวีรกรรมเอาไว้กับเจ้าของชื่อนั้นไม่น้อย


ก็แน่สิ ไอ้บ้านั่นมันเป็นประธานนักเรียน ส่วนอีซองยอลน่ะขึ้นแบล็กลิสต์เด็กไม่ดีของอาจารย์เชียวล่ะ


“ไม่คิดว่าคุณประธานนักเรียนก็จะทำงานกับพี่” เมื่อได้ยินซองยอลพูด ซองกยูจึงหัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงสมัยยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย คิมมยองซูกับอีซองยอลที่แตกต่างกันสุดขั้วแต่มักจะต้องได้ทำงานร่วมกันเสมอ เพราะไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าคิมมยองซูเป็นเพียงคนเดียวที่จะทำให้ซองยอลจัดการงานในส่วนของตนเองที่เจ้าตัวเอาแต่อ้างว่า ไม่มีอารมณ์ ได้


ตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อถึงคราวที่ต้องเร่งงาน คนส่วนใหญ่นั้นจะเอ่ยปากเร่งเอาๆจนไม่สนใจเลยว่าคนถูกเร่งจะรู้สึกเช่นไร อีซองยอลเองก็โดนด่าโดนว่าจากเหล่าอาจารย์และเพื่อนๆร่วมห้องอยู่ไม่น้อย แต่เจ้าตัวยุ่งก็หาได้สนใจคำพูดเหล่านั้นไม่ เมื่อเด็กหนุ่มตัวโย่งในตอนนั้นทำเพียงหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบใส่หูแล้วบอกกับใครต่อใครว่า ไม่มีอารมณ์จะทำ เดือดร้อนคนที่โดนซองยอลพูดแบบนั้นใส่ไปต้องไปตามเด็กหนุ่มหน้าหล่อที่ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียนมาจัดการกับซองยอล


คิมมยองซูที่ซองยอลตั้งชื่อให้ว่าก้อนน้ำแข็งเดินได้ คนเพียงคนเดียวที่สามารถดึงเอาสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในสมองของซองยอลออกมา คนเพียงคนเดียวที่ทำให้ซองยอลยอมหยิบกระดานที่ติดกระดาษวาดรูปเอาไว้ออกมาวาดรูปและรังสรรค์สิ่งที่เจ้าตัวจินตนาการออกมา โดยคำพูดเพียงไม่กี่คำ


และเรื่องราวเหล่านี้คือสาเหตุที่คิมซองกยูจับเด็กเจ้าปัญหาทั้งสองคนมาไว้ด้วยกัน


“ฉันอยากได้ใครฉันก็ต้องได้ อีซองยอล”


“โห พี่ซองกยู” ซองยอลถอนหายใจดังเฮือกจนเจ้าของชื่อต้องเลิกคิ้วมอง “อยากได้ก็ต้องได้นี่ประโยคที่ผมเอาไว้พูดกับของเล่นเลยนะ มันสื่อความหมายคนละอย่าง พี่อย่าใช้มั่วสิครับ”


“ไร้สาระน่ะซองยอล” นักธุรกิจหนุ่มบ่นเบาๆไปตามประสา ก่อนที่เจ้าตัวจะยกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูราคาแพงหูฉี่ขึ้นมาดู “อีกเดี๋ยวมยองซูก็น่าจะมา นายนั่งก่อนสิ”


“ไม่เป็นไรพี่ มองวิวตรงนี้ก็สงบดี” ชายหนุ่มหน้าหวานตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องไปที่ผู้คนและรถยนต์ที่กำลังขยับไปมาอย่างเพลิดเพลิน ห้องทำงานขนาดใหญ่ถูกความเงียบเข้ามาเยี่ยมเยียนเมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งสองชีวิตภายในห้องหาได้สนใจที่จะพูดคุยกันอีก คิมซองกยูเริ่มทำงานของตนเองต่อ ในขณะที่อีซองยอลยังคงทุ่มสมาธิไปที่ทิวทัศน์ด้านนอกตึก จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น


“เชิญครับ” เจ้าของห้องร้องบอก ในขณะที่อีซองยอลนั้นไม่คิดจะขยับกายแม้แต่น้อย


“สวัสดีครับพี่ซองกยู พอดีผมเพิ่งประชุมเสร็จ ขอโทษที่มาช้าครับ” เสียงทุ้มนุ่มหูของผู้มาใหม่เรียกความสนใจของอีซองยอลได้ไม่น้อย ร่างโปร่งของหนุ่มหน้าหวานจึงหันกลับเข้ามาภายในตัวห้อง


ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างที่สมส่วนผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงกลางห้องเรียกความสนใจของอีซองยอลได้มากพอดู คนหน้าหวานอดไม่ได้ที่จะไพล่ไปคิดถึงเด็กหนุ่มหน้าหล่อที่ปกติมักจะทำหน้าเรียบเฉยยู่กับทุกสถานการณ์ ต่างจากคนตรงหน้านี้เหลือเกิน


ดูท่าว่าคำพูดที่เขาว่ากันว่า เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน จะเป็นจริงก็ในวันนี้


เมื่อคิมมยองซูที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ใบหน้าหล่อเหลาอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่คงเดิม อาจจะเพิ่มความหล่อมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ แต่ทั้งท่าทางและรูปร่างที่แปลกตาออกไปก็ทำให้ซองยอลอดสงสัยไม่ได้ ในอดีตคิมมยองซูเป็นเด็กหนุ่มที่มีเนื้อมีหนังค่อนไปทางอวบอ้วนเลยทีเดียว จนซองยอลนึกอยากจะขอกอดอยู่หลายที เพราะทุกครั้งที่เขามองไปที่มยองซูในตอนนั้น ซองยอลมักจะนึกถึงตุ๊กตาที่บ้านเสมอ แต่คิมมยองซูตอนนี้กลับทำตัวเหมือนนายแบบก็ไม่ปาน ด้วยส่วนสูงที่ใกล้เคียงกับเขาแต่กล้ามเนื้อของอีกฝ่ายดูจะเป็นมัดกล้ามยิ่งกว่าอีซองยอลเสียอีก


อีกหนึ่งอดีตที่ต่างจากตอนนี้เห็นทีจะเป็นท่าทางของอีกฝ่าย คิมมยองซูในตอนนั้นดูจะเป็นผู้ชายทื่อๆที่ไม่ค่อยแสดงออกความรู้สึกเสียเท่าไร แต่คิมมยองซูในตอนนี้ อีซองยอลกลับมองเห็นเขี้ยวเล็บที่เจ้าตัวซ่อนเอาไว้ภายใต้ท่าทางเรียบเฉยนั้นจนหมดจด


ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปแบบนี้ แต่มาคิดดูอีกทีก็ดูจะสนุกอยู่ไม่น้อย


“ไม่เป็นไร” ซองกยูเอ่ยตอบคำขอโทษของมยองซู ก่อนจะพยักเพยิดให้มยองซูหันไปมองซองยอล “ทักทายกันซะสิ ไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่”


“สวัสดี คิมมยองซู” อีซองยอลเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน ดวงหน้าเนียนใสปรากฏรอยยิ้มบางเบาแต่งแต้มอยู่ ก่อนที่นัยน์ตากลมโตจะสบเข้ากับดวงตาคู่คมสีรัตติกาลนั้น


ชั่วขณะหนึ่ง อีซองยอลอดคิดไม่ได้ว่าดวงตาคู่นั้นคล้ายจะชักจูงให้ใครต่อใครจมสู่ความมืดมิด


“สวัสดี” มยองซูตอบกลับมาก่อนจะชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงพูดต่อ “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ซองยอล”


“เย็นนี้พี่ว่าจะชวนพวกนายไปดื่ม” ซองกยูว่าหลังจากที่เห็นว่าทั้งซองยอลและมยองซูดูจะยังไม่คุ้นชินกับการกลับมาเจอกันสักเท่าไร “ซองยอลจะกลับไปเตรียมตัวก่อนหรือเปล่า”


“ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ได้เอารถมา ขอติดรถท่านประธานไปท่าจะสะดวกกว่าด้วย” คนหน้าหวานหันไปยิ้มทะเล้นให้กับประธานบริษัทผู้อ่อนเยาว์ จนซองกยูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


“แล้วตอนนี้พักที่ไหน ตอนกลับจะได้ไปส่งถูก หรือไม่ก็หาคนไปส่งให้ถูก”


“คอนโด XX ครับ” เมื่อชื่อสถานที่พักอันเป็นตึกสูงเสียดฟ้าที่ราคาสูงไม่น้อยดังออกจากปากของอีซองยอล คนที่เงียบอยู่นานอย่างมยองซูจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อคอนโดที่เขาพักอยู่นั้น บังเอิญเป็นคอนโดเดียวกันกับที่ซองยอลอาศัยอยู่


“ที่เดียวกับมยองซูเลยนี่” ซองกยูเอ่ยทักขึ้นมา “ใช่ไหมมยองซู”


“ครับ” คิมมยองซูตอบรับกลับไปอย่างเสียไม่ได้


“ถ้างั้นขากลับพี่อาจจะต้องฝากให้ซองยอลกลับพร้อมนาย ไม่เป็นไรใช่ไหม”


“ครับ ไม่เป็นอะไร”


คำตอบรับของคิมมยองซูที่มอบให้คิมซองกยูท่ามกลางรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีซองยอลที่ไม่มีใครเห็น








- Passionate –








ร่างสูงโปร่งของอีซองยอลเดินตามหลังท่านประธานบริษัทผู้ซึ่งเรียกเขาให้มาร่วมงานด้วยในฐานะพนักงานกิตติมศักดิ์ คนตัวสูงเดินตามคิมซองกยูไปยังลานจอดรถของคณะผู้บริหาร แต่ก่อนจะเดินออกจากตึกมา ซองยอลก็ยังไม่ลืมหันไปส่งยิ้มให้กับพนักงานประชาสัมพันธ์ที่ได้ให้ความช่วยเหลือเขาเมื่อเช้า


ก็บอกแล้วไงว่านั่นน่ะ ว่าที่ของเล่นคนแรกของอีซองยอล


“พี่ซองกยู” ซองยอลเอ่ยเรียกรุ่นพี่คนสนิททันทีที่ทั้งสองเข้าไปนั่งภายในรถยนต์คันหรูของซองกยู


“ว่าไง”


“ผมเล็งของเล่นของผมไว้สองชิ้นแล้วนะ” คนหน้าหวานหันไปยกยิ้มให้กับคนเป็นพี่ที่ทำได้เพียงแต่ทอดถอนหายใจออกมา แล้วรับฟังสิ่งที่คนเป็นน้องอย่างอีซองยอลกำลังพูดต่อ “ยุนนาบีที่เป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ กับ...คิมมยองซู”


“อีซองยอล” ซองกยูเอ่ยเรียกซองยอลเสียงเครียด


“อะไรเล่า พี่บอกผมเองนะว่าผมจะทำยังไงก็ได้น่ะ” ซองเอ่ยท้วงคนเป็นพี่ขึ้นมา โดยยกบทสนทนาที่ซองกยูพูดไว้ก่อนหน้ามาเป็นคนข้ออ้าง จนหนุ่มรุ่นพี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“จะเล่นกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับคิมมยองซู”


“โธ่พี่” คนตัวสูงทำหน้าบูดบึ้งคล้ายกำลังงอนคนเป็นพี่อยู่ “ก็มยองซูเปลี่ยนไปเยอะเลยนี่ น่าสนใจจะตายไป”


“ซองยอล พี่พูดจริงๆ” ท่านประธานบริษัทพูดเสียงเครียด พลางหันมามองใบหน้าหวานของรุ่นน้องด้วยสายตาจริงจัง “พี่ไม่อยากให้เรายุ่งกับมยองซู ถ้าเกิดมันลึกซึ้งขึ้นมา มันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”


“งั้นเอาแบบนี้ดีไหมครับ พี่ซองกยู” ซองยอลลองยื่นข้อเสนอกับคนเป็นพี่ “ถ้าหากคืนนี้คิมมยองซูไม่มีท่าทีว่าจะเล่นกับผม ผมก็จะไม่ยุ่งกับเขา”


คิมซองกยูได้แต่ทอดถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่ายามฟังคำเสนอของซองยอลจนจบ


หากคิมมยองซูไม่ใช่คนประเภทเดียวกันอีซองยอล คิมซองกยูคงไม่จำเป็นต้องคิดมากกับข้อเสนอที่ซองยอลเอ่ยออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ได้ยินหนุ่มหน้าหวานที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งพูดต่อ ซองกยูยิ่งนึกอยากจะเอาหัวของตนเองโขกพวงมาลัยรถให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย


“แต่ถ้าคิมมยองซูเล่นกับผม” ซองยอลแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของตนเองคล้ายกำลังจินตนาการถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ “ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย”



เรื่องวุ่นวายทำท่าจะเกิดขึ้นเสียแล้วสิ



TBC.





-passionate-






TALK WITH khanunys

สวัสดีกับตอนที่หนึ่งค่ะ คือที่ลงช้าไม่ใช่อะไร คือเราคิดชื่อตอนไม่ออก ถถถถ
พูดกันตามตรงนะตัวเอง เราไม่มายด์กับคอมเม้นต์นะ
แต่คือนี่ไม่รู้ว่ามีคนอ่านฟิคเรื่องนี้ไหม เราควรทำไงดี?
หรือว่าฟิคเรามันไม่สนุกจริงๆอ่ะ ฮือออออออ นี่เครียดจริงๆนะ
ถ้าไม่สะดวกคอมเม้นต์ก็ติดแท็ก #ฟิคพชน ในทวิตเตอร์ก็ได้นะ พูดจริงๆนะ
ส่งกำลังใจให้เราหน่อย แงงงงงงงงงงงงง TOT