วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

[FIC] Passionate: 5th ☆ Myungyeol


Passionate
5th - Unusual

Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Romantic Drama
Author: khanunys
A\N: - ต้องยกความดีความชอบให้ใครบางคนที่ทำเราใจอ่อนจนยอมลงฟิค LOL
- ยิ่งเขียนเรายิ่งรู้สึกว่ามันแย่ เราขอโทษนะคะ T_T
- ยังคงย้ำว่าแท็ก #ฟิคพชน จะช่วยเหลือคุณได้เวลาจะดูว่าฟิคอัพหรือยังนะคะ orz







-passionate-







ความวุ่นวายและเคร่งเครียดกำลังกระจายตัวไปทั่วฝ่ายออกแบบของบริษัท KSG เนื่องจากพนักงานในฝ่ายนี้ยังไม่สามารถออกแบบเฟอร์นิเจอร์เซ็ตใหม่ที่เตรียมจะเปิดตัวในไตรมาสที่สามของปีไม่เสร็จ นัมอูฮยอนผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเองก็กำลังถูกความเคร่งเครียดเข้าเกาะกุมจนไม่สามารถร่างแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ตนเองทำค้างไว้ต่อได้


เมื่อเช้าอยู่ๆท่านประธานบริษัทอย่างคิมซองกยูก็เรียกประชุมแล้วเร่งงานมาจนทำให้ฝ่ายออกแบบทั้งฝ่ายวุ่นวายกันไปหมด เมื่อเฟอร์นิเจอร์เซ็ตใหม่ที่วางแผนกันไว้แต่แบ่งงานไปทำกันคนละชิ้นสองชิ้นกลับยังไม่เสร็จ เพราะท่านประธานกลับเลื่อนเวลาการส่งต้นแบบให้เร็วขึ้น


"ผมช่วยไหม" เสียงนุ่มหูที่ไม่คุ้นชินดังขึ้นเบื้องหลังเรียกให้นัมอูฮยอนต้องหันไปให้ความสนใจ เช่นเดียวกับคนในฝ่ายที่หันมามองเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูด


"ไม่คิดว่าพนักงานกิตติมศักดิ์แบบคุณจะต้องมาทำงานที่แผนกเหมือนคนอื่นเขานะ คุณอีซองยอล" ทันทีที่อูฮยอนเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ ชายหนุ่มตัวเล็กก็เริ่มจิกกัดอีกฝ่ายทันที


"แล้วแต่จะพูดเถอะครับ แต่ลุกเถอะ เดี๋ยวผมแก้งานให้" ซองยอลถอนใจออกมายาวๆก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ แต่ดูเหมือนว่านัมอูฮยอนจะไม่ค่อยพอใจที่เขาพูดว่าจะแก้งานของอีกฝ่ายเท่าไรนัก "เอางี้ ผมจะลอกงานของคุณใส่กระดาษแผ่นใหม่ แล้วต่อเติมตามที่ผมคิด ถ้าคุณเห็นว่าดี ก็เอาไปส่งฝ่ายผลิต ตกลงไหมครับ"


"อูฮยอน พี่ว่าที่คุณซองยอลพูดก็ถูกนะ" พนักงานคนหนึ่งที่กำลังง่วนอยู่กับการแก้งานของตนเองเอ่ยขึ้นมา


"แต่พี่ดงอู!"


"ไม่เอาน่าอูฮยอน คุณซองยอล รบกวนด้วยนะครับ" ชายหนุ่มที่ร่างเล็กพอๆกับอูฮยอนหันมาพูดกับซองยอลด้วยใบหน้าเปิ้อนรอยยิ้มที่ทำให้ซองยอลอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ชายหนุ่มหน้าหวานพยักหน้าให้อีกฝ่ายน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือไปดึงเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆมือมานั่ง จากนั้นจึงหยิบกระดานวาดรูปที่ตนพกมาด้วยขึ้นมารองกระดาษแล้วเริ่มลงมือวาดตามแบบขงอูฮยอน ในขณะที่เจ้าของแบบทำได้เพียงแค่ยืนกอดอกมองอยู่ด้านหลัง


“อูฮยอนไปร้านกาแฟไหม” จางดงอูที่เห็นทีท่าของน้องชายคนสนิทตัดสินใจวางมือจากงานของตนเอง เพื่อที่จะพาอูฮยอนออกจากบริเวณนี้เพราะหากเจ้าคนตัวเล็กยังคงยืนจ้องซองยอลอยู่แบบนี้ คนหน้าหวานอาจจะไม่มีสมาธิเอาได้


“ไปก็ได้ครับ” คนตัวเล็กถอนหายใจออกมายาวๆแล้วตอบตกลง


“งั้นไปกัน” ดงอูยิ้มร่า เมื่อคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าออกไปได้โดยดี “คุณซองยอลเอาอะไรไหมครับ”


“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมกับแย้มรอยยิ้มน่ารักให้จางดงอูได้เชยชม “แล้วก็ ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณก็ได้ครับ มันทำให้ผมรู้สึกเกร็งน่ะ”


“แล้วทำไมไม่รีบบอกล่ะ!” จางดงอูพูดเสียงดังพร้อมกับหัวเราะออกมา “งั้นพี่ไม่ต้องเรียกคุณเนอะ ซองยอลก็เรียกพี่ว่าพี่ดงอูแบบคนอื่นก็ได้นะ”


“ครับ” ซองยอลตอบกลับสั้นๆพร้อมกับยกยิ้มอ่อนจางให้กับคู่สนทนา


“งั้นพี่ลงไปซื้อกาแฟก่อนนะ” ดงอูร้องบอกด้วยน้ำเสียงสดใสแล้วหันไปลากอูฮยอนให้เดินไปด้วยกัน ซองยอลจึงหันไปให้ความสนใจกับรูปวาดตรงหน้าต่อ


ฟากอูฮยอนที่เดินหน้าบึ้งออกมากับดงอูก็ทำให้ผู้พี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับใบหน้าบูดบึ้งของคนอ่อนวัยวุฒิกว่า


"ไม่ชอบซองยอลขนาดนั้นเลยเหรออูฮยอน" คนอายุมากกว่าเอ่ยถามขึ้น


"แค่ไม่พอใจครับ" อูฮยอนตอบเสียงแผ่ว "เขาทำเหมือนไม่ให้เกียรติแผนกของเรานะพี่ดงอู! แบบนี้มันหักหน้าผมที่เป็นหัวหน้าชัดๆเลย!"


"แต่อูฮยอนก็ได้ยินแล้วนี่ที่คุณซองกยูบอกน่ะ" จางดงอูเลือกที่จะใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันมาทำให้ดงอูรู้จักอูฮยอนดีในระดับหนึ่ง เด็กคนนี้ยึดมั่นในกฎเกณฑ์และซื่อตรงจนสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนกได้อย่างรวดเร็ว เจ้าตัวจึงไม่ชอบใจเท่าไรนักที่ซองยอลซึ่งเข้ามาใหม่ได้รับสิทธิพิเศษ "ซองยอลทำงานขึ้นตรงกับคุณซองกยูนะอูฮยอน การที่เขาเข้ามายื่นมือช่วยเราแบบวันนี้พี่เองก็ตกใจ แต่สิ่งสำคัญก็คือเขาเห็นเราในสายตานะ"


"แต่พี่ดงอูก็เห็นนี่ว่าตอนประชุมกันวันนั้นเขาทำตัวใส่ผมแบบไหน!" อูฮยอนร้องบอกพี่ชายตัวเล็กด้วยใบหน้าบึ้งตึง


"ใช่ พี่เห็น พี่ได้ยินด้วย" มือน้อยถูกเจ้าของยกขึ้นมาเพื่อลูบผมของน้องชายที่ขนาดตัวไล่กัน "แต่อูฮยอนเองก็ผิดที่ไปหาเรื่องซองยอลนะ จากที่คุยกันเมื่อกี้ซองยอลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่อาจจะเข้าหาคนที่ต้องทำงานด้วยไม่ค่อยเก่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นนายต้องเปิดใจให้กว้างนะ"


"ถ้ามันทำง่ายๆก็ดีสิครับ"


“มันทำไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากนะ" พี่ชายตัวเล็กตอบกลับทันที "อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือเปล่า อย่างน้อยก็ซื้อกาแฟไปฝากซองยอลด้วยก็แล้วกัน ยังไงเขาก็ยื่นมือเข้ามาช่วยงานพวกเรานะ"


นัมอูฮยอนไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่เจ้าตัวทำเพียงถอนหายใจคล้ายกับกำลังเหนื่อยใจกับอะไรบางอย่างเท่านั้น


เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ซึ่งอีซองยอลก็ใช้เวลาที่ผ่านไปในการลอกรูปขอวนัมอูฮยอนลงบนกระดาษแผ่นใหม่ได้เสร็จพอดี ข้อมือเล็กตวัดไปมาเพื่อลากเส้นเพิ่มตามจินตนาการที่ปรากฏอยู่ในหัว จนทำให้เฟอร์นิเจอร์ที่อูฮยอนออกแบบไว้ก่อนหน้านี้มีรูปลักษณ์ที่แปลกออกไปจากเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรูปแบบที่อูฮยอนร่างเอาไว้ก่อนได้เป็นอย่างดี


ซองยอลกดน้ำหนักลงบนปลายนิ้วเพื่อลงน้ำหนักให้เสนนั้นเห็นชัดมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งงานตรงหน้าของเขาเสร็จสมบูรณ์ คนหน้าหวานวางดินสอลงบนโต๊ะตรงหน้า ก่อนจะแกะกระดาษออกจากกระดานแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะของอูฮยอน จากนั้นจึงเก็บข้าวของที่ตนรื้อออกมาเข้าที่ คนตัวสูงมองไปรอบเพื่อตรวจคสามเรียบร้อยว่าตนเองไม่ได้ลืมเก็บข้าวของของตนเอง จากนั้นจึงเดินออกจากบริเวณนั้น


"อ้าว ซองยอล" ดงอูที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในแผนกเอ่ยทักขึ้นทันทีที่เห็นว่าซองยอลกำลังจะเดินออกด้านนอก "จะกลับแล้วเหรอ"
"ครับพี่ดงอู" ซองยอลตอลพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่าย "ผมแก้งานให้เสร็จแล้วนะครับคุณอูฮยอน ลาล่ะครับ ไปนะครับพี่ดงอู"


"เดี๋ยวสิซองยอล ทำไมถึงจะรีบไปล่ะ"


"ผมตรงไปรับรายละเอียดสินค้าตัวใหม่ที่พี่ซองกยูครับ คงต้องไปก่อน" หนุ่มหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างให้กับท่าทีที่ดูสนอกสนใจในการกระทำของเขาจากดงอู


ซองยอลไม่เคยชินกับการถูกใครสักคนเอาใจใส่ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันแบบนี้


"งั้นเหรอ" จางดงอูรำพึงออกมาเบาๆ "อ๊ะ จริงสิ! อูฮยอนซื้อกาแฟมาฝากายด้วยนะ อูฮยอนก็เอากาแฟมาให้ซองยอลสิ ยืนเฉยอยู่ได้"


คิ้วเรียวสวยของซองยอลเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของดงอู คนตัวสูงหันไปมองร่างเล็กของอูฮยอนที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะทำงานของตนเอง ก่อนที่เจ้าตัวจะต้องประหลาดใจเข้าไปอีกเมื่อคนตัวเล็กยื่นเก้ากาแฟในมือมาให้กับซองยอลหนึ่งใบ พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ซองยอลต้องอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้


"ขอบคุณนายมากนะ"






- passionate -







คิมมยองซูเตรียมจะก้าวขึ้นรถหลังจากที่เขาเลิกงาน ชายหนุ่มไพล่มองเช้าไปในตัวอาคารของบริษัทอีหครั้งก่อนจะสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่งที่ถูกขนาบข้างด้วยจางดงอูและนัมอูฮยอนจากฝ่ายออกแบบ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติเนื่องจากเมื่อเช้าหลังจากที่เขาประชุมกับคิมซองกยู มยองซูได้รู้มาว่านัมอูฮยอนไม่ค่อยชอบใจอีซองยอลเท่าไรนัก แล้วทำไมตอนนี้ซองยอลและอูฮยอนถึงดูสนิทสนมกันขนาดนั้น มยองซูมองแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีขัดใจกันตรงไหน


หรือจะเป็นเพราะอีซองยอลเข้าหานัมอูฮยอนในแนวนั้นกันแน่นะ?


คนหน้าหล่อยัดตัวเองเข้าไปนั่งในรถ แต่ก็ไม่ได้ขับรถออกไปแต่อย่างใด ดวงตาคมสวยยังคงจับจ้องไปยังซองยอลอยู่ตลอดเวลา จนเห็นว่าอูฮยอนและดงอูได้เดินแยกออกไปแล้ว ส่วนคนตัวสูงคนนั้นกลับเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีซองยอลกับท่าทางเขินแายของหญิงสาวคนนั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มออกมา ก่อนที่คิมมยองซูจะตัดสินใจออกรถออกจากบริษัทด้วยความเร็วที่ทำให้คยรอบข้างต้องตกใจ


ความจริงแล้วมยองซูก็อยากจะนั่งมองซองยอลต่ออีกหน่อย หากไม่ติดว่าวันนี้เขามีนัดทานอาหารกับที่บ้านล่ะก็นะ


มยองซูขับรถมายังห้างสรรพสินค้ากลางเมืองหลวงที่ซึ่งเป็นสถานที่นัดพบของเขากับพ่อแม่ คนหน้าหล่อรีบรุดไปยังร้านอาหารที่ได้นัดกับผู้ให้กำเนิดไว้ทันทีที่ไปถึง ผ่านไปพักใหญ่มยองซูก็ขอตัวแยกจากพ่อกับแม่แล้วมาเดินที่ซูเปิร์ด้านล่างเพื่อซื้อของใช้เข้าห้องของตนเอง ก่อนที่ดวงตาของเขามันจะโฟกีสเห็นใครบางคนที่กำลังเดินอยู่เคียงข้างเด็กหนุ่มคนหนึ่ง


อีซองยอล


คิมมยองซูได้แต่นึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจยามเห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนของซองยอล น่าแปลกที่กับคนอื่นซองยอลไม่เคยยิ้มอ่อนโยนแบบนี้ให้เลยสักครั้ง แม้กระทั่งยุนนาบีที่เจ้าตัว'ไปด้วย'มาเมื่อไม่กี่วันก่อน


หลังจากที่เขากับซองยอลตัดสินใจตั้งข้อตกลงขึ้นมาวันนั้นมยองซูก็ไม่ได้ไปก่อกวนอีกคน ทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าซองยอลกับเด็กคนนั้นเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว


สงสัยว่าเขาจะต้องเข้าไปหาอีซองยอลสักหน่อยแล้วล่ะมั้ง







- passionate -







หลังจากที่เข้าไปคุยกับคิมซองกยู อีซองยอลก็ได้รับโทรศัพท์จากซองจงที่โทรมาถามเขาว่าหากเจอกันวันนี้จะได้ไหม ซึ่งแน่นอนว่าอีซองยอลไม่รอช้าที่จะตอบตกลงคำนัดของซองจงไป คนตัวสูงเดินออกจากห้องของซองกยูพร้อมกับกระดาษที่บอกรายละเอียดของเฟอร์นิเจอร์ชิ้นแรกที่เขาต้องออกแบบในฐานะนักออกแบบของบริษัท KSG เขาเจออูฮยอนและดงอูตอนที่เขากำลังลงไปด้านล่างของอาคาร ซองยอลเดินคุยกับทั้งสองคนอย่างผ่อนคลายถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขาจะไม่ค่อยได้พูดอะไรสักเท่าไรเลยก็ตาม เมื่อแยกจากสองคนนั้นซองยอลก็ไม่ลืมที่จะเดินไปหายุนนาบีเพื่อเก็บเธอเอาไว้เผื่อเขาจำเป็นต้องไปเล่นกับเธออีกครั้ง


ดูจากงานที่ซองกยูให้เขามา ซองยอลก็พอจะรู้ว่าเขาคงไม่มีเวลาจะไปตามหาของเล่นคนใหม่สักเท่าไร


"พี่ซองยอล!" เสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาเรียกให้ซองยอลต้องมองหาต้นเสียง แล้วเขาก็ได้พบกับร่างเล็กของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่หอบกระดานวาดรูปและอุปกรณ์เกี่ยวกับศิลปะมาด้วย


"สวัสดี ซองจง" ชายหนุ่มหน้าหวานวาดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าด้วยความเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้า


ซองยอลเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ ซองจงเป็นคนแรกที่ถูกเขาจำกัดหมวดหมู่ให้เป็นหนึ่งในของเล่น แต่เขากลับไม่นึกอยากจะ'เล่น'กับซองจงแบบที่ทำกับนาบีสักเท่าไร


"สวัสดีครับพี่ซองยอล ขอโทษนะฮะที่โทรไปเร่งรัดให้พี่มาเจอผม แต่ถ้าไม่ได้พี่มาช่วย ผมว่าผมต้องเรียนไม่จบแน่ๆเลยฮะ" ซองจงพูดพร้อมกับทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ เด็กหนุ่มพูดเร็วระรัวจนซองยอลนึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายใจไม่ทันเสียก่อน ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มให้กับท่าทางเช่นนั้นของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง คนหน้าหวานจึงยกมือขึ้นวางลงบนกลุ่มผมนุ่มของคนตัวเล็กกว่าแล้วบอกปัดไปว่าไม่เป็นไร ซองยอลเอ่ยถามซองจงถึงรายละเอียดของงานที่เจ้าตัวต้องทำ เมื่อได้รู้แล้วเขาก็พาซองจงไปซื้อของที่ต้องใช้เพิ่มเติม


"ว่าแต่เราจะไปทำงานกันที่ไหนล่ะ" ซองยอลเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่เขาและซองจงเลือกซื้อของเสร็จเรียบร้อย เขาทั้งสองคนลืมคิดเรื่องนี้กันไปเสียสนิท


"อ๊ะ นั่นสิครับ"


"ไปคอนโดพี่ก็แล้วกัน เผื่อมีอะไรขาดเหลือที่นั่นน่าจะมีของที่นายต้องใช้ด้วย" ซองยอลตัดสินใจให้ซองจงไปทำงานที่คอนโดของเขาหลังจากเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อของเด็กหนุ่ม


“จะดีเหรอครับ” ซองจงเอ่ยถาม “ผมเกรงใจพี่นะครับ”


“ไม่เป็นอะไรหรอก” ซองยอลบอกเด็กหนุ่มพร้อมกับยิ้มให้บางๆ “ยังไงพี่ก็ต้องกลับทำงานอยู่แล้ว นายก็ไปทำงานใกล้ๆพี่ เวลาติดขัดอะไรจะได้ถามได้สะดวก”


“ถ้างั้นก็ได้ฮะ” ซองจงตอบตกลงด้วยใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยความเกรงใจที่ปรากฏอยู่บนนั้น จนซองยอลอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปยีกลุ่มผมนุ่มของเด็กหนุ่มอย่างนึกเอ็นดู


“ไปเถอะ” คนตัวสูงบอกกับซองจงแล้วเดินนำอีกฝ่ายไปยังรถยนต์คันหรูของตนเอง ซองยอลรอจนซองจงเก็บของและขึ้นรถเสร็จแล้วจึงขับรถออกจากที่จอดเพื่อเดินทางไปคอนโดของซองยอลทันที







- passionate –







อีซองยอลและอีซองจงนั่งทำงานของตนเองอยู่คนละมุมห้อง เสียงดนตรีคลาสสิคที่เปิดคลอเบาๆเพราะเจ้าของห้องบอกว่าถ้าหากไม่เปิดเพลงไปด้วยเขาจะคิดงานไม่ค่อยออก เสียงเล็กของเด็กหนุ่มร่างบางดังขึนเป็นครั้งคราวเมื่องานจิตรกรรมของตนเองเกิดการติดขัดจนต้องให้รุ่นพี่อย่างซองยอลช่วยหาทางออก จนในที่สุดงานของเด็กหนุ่มก็ใกล้เสร็จเต็มที


“ซองจง อยากดื่มอะไรไหม” ซองยอลที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อยเอ่ยถามเด็กหนุ่มตัวเล็กซึ่งส่ายหน้าเป็นการฏิเสธคำถามของรุ่นพี่ทันทีด้วยความเกรงใจ ซองจงทิ้งสายตามองตามหลังของซองยอลด้วยความสงสัย จากนั้นเขาจึงหันไปมองที่กระดานวาดรูปของซองยอลที่วางอยู่ในมุมห้อง


กระดาษที่ถูกขยำใบแล้วใบเล่าถูกวางกองอยู่บนพื้น ส่วนแผ่นที่ถูกติดอยู่บนกระดานนั้นก็ว่างเปล่าคล้ายกับว่าเป็นแผ่นใหม่ที่เจ้าของห้องเพิ่งติดมันลงไป ดวงตากลมของเด็กหนุ่มหลุบลงมองหน้าตักของตนเองด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นแล้วเดินตามซองยอลไป


“พี่ซองยอลฮะ” ซองจงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา เมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่หันมามองตัวเองแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะพูดต่อ “ผมขอโทษนะฮะที่ทำให้พี่ทำงานไม่สะดวก”


ชายหนุ่มเจ้าของห้องยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่อาจนับได้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร เด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้ซองยอลรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นทุกที ดวงตาคู่สวยทอดมองอีซองจงด้วยความอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะวางแก้วน้ำในมือลงบนเคาน์เตอร์ครัว


“นี่ซองจง” ซองยอลเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงที่ติดจะหัวเราะอยู่ในที “ไม่ใช่เพราะนายหรอกที่ทำให้พี่คิดงานไม่ออก แต่พอดีพี่เพิ่งได้รายละเอียดงานมา คิดไม่ออกก็ไม่แปลกหรอก ไม่ต้องโทษตัวเองนะ”


“แต่...”


“เอาอย่างนี้แล้วกัน” หนุ่มหน้าหวานเอ่ยขัด “ถ้าเราอยากให้พี่อารมณ์ดีขึ้นก็อยู่คุยเป็นเพื่อนกันสักพักได้ไหม”


“ได้สิครับ!” ซองจงตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน นัยน์ตาที่หม่นหมองอยู่เมื่อครู่ฉายแววโล่งใจออกมาจนซองยอลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับสิ่งที่เห็น คนตัวสูงเดินออกจากห้องครัวไปจูงมือรุ่นน้องเดินตามไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก


“ช่วงนี้พี่กำลังมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย” ซองยอลพูดขึ้นมาโดยไม่ได้มองหน้าของคู่สนทนา คนตัวสูงเหม่อมองเข้าไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่มืดสนิทคล้ายกับเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง


ซองจงไม่ได้พูดอะไรเป็นการขัดอีกฝ่าย คนตัวเล็กทำเพียงนั่งอยู่ข้างๆแล้วรับฟังอีกคนเท่านั้น


“มีใครบางคนกำลังทำให้การใช้ชีวิตของพี่เปลี่ยนไป” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นจนเด็กหนุ่มต้องหันไปมอง “และพี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงไม่ไล่เขาออกไป”


“พี่ซองยอล...”


“ซองจงน่าจะรู้ใช่ไหมล่ะว่าพี่เป็นพวกชอบเล่นไปทั่ว” คนตัวสูงหันหน้าหลับมาหาเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ “ตอนที่เดินเข้าทักนาย ก็เป็นเพราะพี่ก็อยากได้นายมาเป็นหนึ่งใน ของเล่น นั่นแหละ” รอยยิ้มขำปรากฏขึ้นที่มุมปากเมื่อเห็นสีหน้าวิตกของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ตอนนี้พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว”


“แล้วใครเหรอฮะที่ทำให้พี่ซองยอลรู้สึกแปลกไป”


“คนที่พี่ตัดออกไปในชีวิตไม่ได้สักทีน่ะสิ ตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ” ซองยอลยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันวาน


คนที่เขากำลังพูดให้ซองจงฟังก็หนีไม่พ้นคิมมยองซูคนนั้นนั่นแหละ ซองยอลไม่ได้รักมยองซู เขามั่นใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจตัวเองก็คือ ทั้งๆที่เขาเป็นคนกำหนดข้อตกลง ทั้งๆที่เขามีสิทธิ์จะปฏิเสธไม่ให้อีกฝ่ายมายุ่มย่ามกับเขา แม้มันจะทำให้เกิดความวุ่นวายในการต้องพยายามหลบหนีอีกฝ่ายก็เถอะ อีซองยอลสามารถทำได้ แต่เขากลับไม่ทำ


เขาไม่เข้าใจตัวเอง


ซองยอลไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยื่นข้อเสนอที่เด็กขาดกับมยองซูไปเลย อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวในอดีตกระมัง เพราะซองยอลมีมยองซูคอยทำให้เขาสามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายกว่าปกตินิดหน่อย มันเป็นเพราะเขาไม่มีเพื่อน ตั้งแต่เด็กแล้ว ซองยอลไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว หากจะบอกว่าคิมมยองซูเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของซองยอลก็คงจะเป็นไปได้ เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้จำกัดความมยองซูให้เป็นเพื่อนก็เท่านั้นเอง


เขารู้ดีว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นยากแค่ไหน ถึงแม้ซองยอลจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับการหาความสุขทางกายที่ค่อนข้างดี แต่การเข้าหาคนอื่นในแง่อื่นเขาทำมันได้ไม่ดีเสียเลย ยกตัวอย่างเช่นกับคนในฝ่ายออกแบบ หากไม่ได้จางดงอู อีซองยอลก็คงไม่อาจพูดคุยกับใครได้แม้แต่คนเดียว ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วที่ซองยอลเป็นแบบนี้ และเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ในตอนนั้นซองยอลถึงมีมยองซูเป็นคนเดียวที่กล้าเดินเข้ามาหา


หลายๆคนเห็นเขาเป็นผลประโยชน์ ไม่เคยมีคนถามถึงความรู้สึกเขา สิ่งที่ซองยอลได้รับตลอดมามีเพียงแค่ความกดดัน ซึ่งส่วนหนึ่งมันคงจะเป็นความผิดของเขาที่ไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับตนเองออกไป จนนานวันเข้า เมื่อความกดดันนั้นมีมากขึ้นซองยอลจึงเลือกที่จะวางเฉยกับมัน เขาไม่สนใจอะไรที่คนรอบข้างพยายามยัดเยียดให้ เขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ซองยอลเพียงแค่คิดว่าเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะได้รับผลกระทบเช่นไร เพราะสิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้นมันก็มากพอแล้ว


แต่จนแล้วจนรอดคนพวกนั้นก็ส่งคิมมยองซูมาพูดคุยกับเขา


ครั้งแรกที่เราพูดคุยกันแบบจริงจัง เป็นการพูดคุยที่เหมือนไม่ได้คุยกัน เพราะซองยอลไม่ได้สนใจจะฟังและมยองซูก็ไม่ได้พูดมากความ หากแต่หลังจากนั้นมยองซูกลับอยู่เคียงข้างซองยอลเสมอในยามที่ซองยอลจำเป็นต้องทำงานที่เกี่ยวกับศิลปะ คำพูดให้กำลังใจ ปลอบประโลม หรือแนะแนวทางมากมายนั้นซองยอลไม่เคยลืมได้ลง เขาเก็บมันอาไว้ในทุกอณูของความทรงจำ เมื่อซองยอลกับมยองซูเรียนจบชั้นมัธยมปลายเขาทั้งสองคนก็เดินไปกันคนละทาง แต่ก็เหมือนกับว่ามยองซูไม่ได้จากซองยอลไปหา อีกฝ่ายยังคงมีตัวตนอยู่กับเขาผ่านถ้อยคำที่ซองยอลจดจำไม่รู้ลืมพวกนั้น


“พี่ไม่เข้าใจตัวเอง ซองจง” คนหน้าหวานยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมที่ขมับ “พี่ไม่เคยยอมอ่อนให้ใครขนาดนี้ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบ แต่พี่ก็ยัง...”


“พี่ซองยอลมีเรื่องอะไรที่ติดค้างในใจกับเขาหรืเปล่าครับ” ซองจงแทรกขึ้นมาด้วยคำพูดที่ทำให้ซองยอลชะงัก


“ติดค้างเหรอ” คนตัวสูงทวนคำพลางขมวดคิ้ว


“ครับ” เด็กหนุ่มร่างเล็กกดยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือของรุ่นพี่เอาไว้อย่างอ่อนโยน “บางทีเพราะพี่ซองยอลให้ความสำคัญกับเขามากกว่าใครทำให้พี่ไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธหรือบอกปัดเขาไปน่ะครับ”


“งั้นเหรอ” ซองยอลรำพึงเสียงเบา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องไปยังหน้าตักของตนเองอย่างครุ่นคิด หากความรู้สึกของเขาเป็นอย่างที่ซองจงบอกก็ถือว่ามันไม่เสียหายอะไรเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังขัดใจอยู่ไม่น้อยที่เด็กหนุ่มบอกว่าอีซองยอลให้ความสำคัญคิมมยองซูมากกว่าใคร


ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย


“แต่พี่ซองยอลครับ” เสียงของซองจงปลุกให้ซองยอลต้องตื่นจากภวังค์อย่างรวดเร็ว


“หืม”


“ในช่วงที่พี่สับสนแบบนี้ ระวังหัวใจตัวเองไว้บ้างก็ดีนะครับ” คนตัวเล็กบอกพร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้กับรุ่นพี่ที่ทำหน้างงงวยได้อย่างน่าเอ็นดู “เห็นเขาสำคัญมากไปบางทีมันก็ไม่ดีกับตัวเราเองนะครับ”


คำพูดของรุ่นน้องตัวบางทำให้ซองยอลต้องชะงัก ใบหน้าเรียวเงยขึ้นจ้องมองไปยังหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เขา ซองยอลตกอยู่ในภวังค์อีกพักใหญ่จนซองจงบอกกับเขาว่าเจ้าตัวต้องกลับบ้านแล้วชายหนุ่มจึงจะหลุดออกจากห้วงความคิด เขาลงไปส่งเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ด้านหน้าของคอนโดก่อนจะกลับขึ้นมาบนห้อง ซองยอลทิ้งตัวลงบนโซฟาที่กลางห้องนั่งเล่นอย่างเหนื่อยอ่อน


เขาอยากจะพักสมองของตนเองจากความคิดวุ่นวยที่กำลังตีกันอยู่ภายในหัวของเขาก่อนจะลุยกับงานที่รอเขาอยู่ แต่แล้วเสียงกริ่งก็ดังขึ้น สร้างความประหลาดใจให้กับซองยอลได้เป็นอย่างดี


ใครจะมาหาเขาในเวลาเช่นนี้กัน


“ใครครับ” เสียงทุ้มหวานดังขึ้นเพื่อถามคนที่อยู่ด้านนอกพอเป็นพิธี ในขณะเดียวกันนั้นขาเรียวก็ก้าวเดินไปยังประตูบานสวยที่เป็นทางเข้าออก ซองยอลปลดกลอนประตูแล้วเปิดออกกว้าง ก่อนที่ดวงตากลมจะเบิกกว้างออกด้วยความตกใจ เมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าห้องของเขาคือคนที่ทำให้ความคิดของเขาตีกันมั่วไปหมด


คิมมยองซู


“มีอะไร” ซองยอลกระชากเสียงถามอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยกับการมาเยือนในยามวิกาลเช่นนี้ คนหน้าหล่อไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับเดินเข้ามาภายในห้องของเขาอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะดึงร่างของเขาเข้าไปบดเบียดจูบที่รุนแรงและเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจที่ซองยอลทำได้เพียงประท้วงอยู่ในลำคอ


“ซองยอล ฉันรู้ว่ามันอาจจะผิดสัญญา แต่...” มยองซูพูดขึ้นหลังจากที่เจ้าตัวถอนริมฝีปากออกไป “ได้โปรดมีฉันเป็นผู้ชายคนเดียวของนายเถอะนะ”


หัวใจที่ซ่อนอยู่ใต้อกข้างซ้ายเต้นระรัวขึ้นเพียงแค่เขาได้ยินประโยคนั้น


อีซองยอลจึงได้ค้นพบว่า เขากำลังแปลกไป


TBC.