วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

[SF] Question「myungyeol」

Question

Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Drama
Author: khanunys
A\N: - ฟิคเรื่องนี้เคยลงไปแล้วที่อฟนทล.
- ฟิคเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราชอบที่สุดนะ ถึงมันจะเจ็บปวดแต่เราว่ามันก็สวยงาม #อวยตัวเองก็เป็น








-question-









How hard to restrain someone to walk out your life?
Do you dare to beg him or her to stay with you?





ร่างหนาทรุดตัวลงบนพื้นช้าๆคล้ายกับคนไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากอิ่มได้รูปขยับขึ้นลงคล้ายคนกำลังจะหมดลมหายใจ ดวงตาคมสวยที่ในบัดนี้ดูแดงช้ำเพราะมันผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
ลมหายใจเข้าออกที่ดังแผ่วผิวนั้นคล้ายกับคนกำลังจะสิ้นใจ ริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงนั้นกำลังเอ่ยชื่อใครคนหนึ่งออกมา
ไร้ซึ่งเสียงใดที่เล็ดลอดออกจากลำคอหรือริมฝีปาก ในตอนนี้สำหรับเขาแล้วแม้แต่เรี่ยวแรงจะหายใจยังไม่มี เขาปรารถนาเพียงแค่ใครคนนั้นที่เพิ่งเดินจากไป ใครคนนั้นที่พรากเอาลมหายใจและอวัยวะที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของเขาไป เขาปรารถนาเพียงแค่ให้ใครคนนั้นเดินกลับมา
อย่าทิ้งฉัน อย่าเดินหนีไปจากฉัน หยุดอยู่ตรงนั้นเถอะนะ หันหลังเดินกลับมาหาฉันเถอะนะ
เขาทำได้เพียงแค่คร่ำครวญคำพูดเหล่านั้นในใจ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรั้งคนคนนั้นเอาไว้อีกแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะร่ำร้อง เรียกหาหรือแสดงความเป็นเจ้าของอีกต่อไป
ความรักของเขามันจบลงในวันนี้ ณ ตอนนี้ ทั้งๆที่มันจบลงไปเพียงความรักเท่านั้น แต่เหตุใดเขาจึงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะขาดใจ เหตุใดเขาจึงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะตาย
แต่ถ้าเป็นไปได้ ถ้าเขาตายไปได้เสียก็คงจะดี อย่างน้อย เขาคงไม่ต้องเจ็บปวดอยู่แบบนี้
ไม่ต้องเจ็บปวดกับการจากไปของคนรัก ไม่สิ อดีตคนรักของเขา
ฉันรักนายนะ” เขาเอ่ยออกไปอย่างแผ่วเบา รู้ทั้งรู้ว่าใครคนนั้นไม่มีทางได้ยินแต่เขาก็ยังเลือกที่จะพูดมัน “ฉันรักนาย อย่าไปเลยนะ ...อีซองยอล





No matter I shout out loud.
That person who wants to go will never come back.

 



บางทีคนเราก็ควรที่จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเจ็บปวด เรียนรู้ที่จะใช้ความเจ็บปวดที่มีเป็นแรงผลักดันให้ตนเองสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้เพียงลำพัง แต่เขาทำไม่ได้... คิมมยองซูทำไม่ได้

มีหลายคนเคยบอกเอาไว้ว่าความรักนั้นมักจะมาพร้อมกับความเจ็บปวด มีความรักย่อมมีความทุกข์ และหากเราจมอยู่กับอดีตมันจะยิ่งทำให้เราเจ็บปวดเสียจนไม่สามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ แต่คงไม่ใช่กับมยองซู จริงอยู่ที่ในทุกครั้งที่หวนคิดถึงเรื่องราวของเขากับใครคนนั้น – อีซองยอล – เขามักจะเจ็บปวดเสมอ แต่มยองซูก็ไม่อาจหักห้ามหัวใจของตัวเองไม่ให้คิดถึงซองยอลได้
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คนที่เขารักก็คือซองยอล
แค่อีซองยอล คนเดียวเท่านั้น





Something you forgot is the thing I'll never forget.






จนตอนนี้เขายังจำครั้งแรกที่เขาเจอกับซองยอลได้ดี
มยองซูจำได้ทุกเหตุการณ์ที่มีร่วมกับคนน่ารักคนนั้น คนน่ารักที่เป็นเจ้าของหัวใจของเขา คนที่ทำร้ายเขาได้อย่างเลือดเย็นเมื่อกี้นี้
เรื่องราวเหล่านั้นมันเกิดขึ้นเพราะมยองซูชอบถ่ายรูป ฉะนั้นเขามักจะเดินไปตามถนนหนทางต่างๆเพื่อถ่ายรูปทั้งทิวทัศน์ ทั้งคน หรือสถาปัตยกรรม วันนั้นก็เช่นกัน มยองซูเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ แถมคนก็ยังเยอะไม่น้อย แล้วเขาก็ได้พบกับซองยอล
.
.
.
ในขณะที่มยองซูกำลังเดินเท้ากลับบ้านเขาก็ได้พบกับใครบางคน
คนตัวสูงแต่กลับบางเสียจนมยองซูกลัวว่าคนคนนั้นจะถูกลมพัดจนปลิว ใบหน้าเนียนใสที่ขึ้นสีระเรื่อที่ข้างแก้มบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนสุขภาพดี ดวงตากลมโตที่แวววับจับตาด้วยหยาดน้ำที่หล่อเลี้ยงอยู่ในนั้น จมูกโด่งรั้นที่ตรงปลายขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยซึ่งอาจจะเป็นเพราะอากาศที่เย็นจนเกินไป ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูสดตามธรรมชาติที่กำลังยู่น้อยๆคล้ายกับว่าเจ้าตัวไม่พอใจอะไรบางอย่าง
ดึงดูด
มยองซูถูกใครคนนั้นดึงดูดสายตาเอาไว้จนเขาไม่อาจละสายตาไปจากตรงนั้นได้ มยองซูสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาใครคนนั้น เพราะดูเหมือนว่าคนน่ารักนั้นจะต้องการความช่วยเหลืออยู่ไม่น้อย
มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” มยองซูเอ่ยทักคนที่สูงกว่าเขาประมาณ 2-3 เซนติเมตรด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อีกฝ่ายหันมามองเขาด้วยความตกใจก่อนจะพยักหน้าเร็วๆหลายครั้ง
ผมหลงทางครับ ผมจะไปบ้านคุณป้าแต่ไม่รู้ว่าต้องไปยังไง” เสียงหวานใสที่หลุดรอดออกจากริมฝีปากของคนคนนั้นทำให้มยองซูใจเต้นรัว เขากดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเป็นการรับรู้
ต้องไปที่ไหนอย่างนั้นเหรอครับ”
เมื่อกี้คุณป้าบอกว่าให้เดินเข้ามาในซอยนี้ แล้วมองหาบ้านสีขาวครับ คุณป้าบอกว่าอยู่ฝั่งตรงข้าวกับบ้านสีเทาแต่ผมยังหาไม่เจอเลย” เจ้าตัวพูดพลางมุ่ยหน้าเล็กน้อย ช่างเป็นภาพที่น่าเอ็นดู มยองซูคิด
มาครับ เดี๋ยวผมพาไป” มยองซูเอ่ยชวนอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็กำลังจะกลับบ้านพอดี และดูเหมือนว่าบ้านหลังสีเทาที่อีกฝ่ายพูดถึงคือบ้านของเขาเอง
อ๊ะ ขอบคุณมากครับ!” คนน่ารักคนนั้นโค้งตัวให้เขา 90 องศา ก่อนจะเงยหน้ามาแล้วส่งยิ้มสดใสที่ทำเอามยองซูหัวใจเต้นรัวมาให้ “จริงสิ! ผมชื่อซองยอลนะครับ อีซองยอล
คิมมยองซู”
เอ๊ะ?” ซองยอลส่งเสียงพร้อมกับเอียงคอมองเขาอย่างสงสัย
ผมชื่อคิมมยองซูครับ”
.
.
.
ความสัมพันธ์ของมยองซูกับซองยอลเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น คนตัวบางเจ้าของหน้าตาน่ารักอย่างซองยอลมักจะเข้าออกบ้านเขาและไปมาหาสู่กับเขาเป็นประจำ จนกระทั่งมันกลายเป็นความเคยชิน
และจากความเคยชินก็แปรเปลี่ยนเป็นความรัก
ที่ท้ายที่สุดแล้วก็จบลงด้วยความเจ็บปวด





The last thing you left me is a pain.
So, my darling, how can I live without you?






คิมมยองซูทำได้เพียงแค่กดยิ้มเย้ยหยันให้กับตนเองพลางสกัดกลั้นน้ำตาที่ตั้งท่าจะไหล ภาพในอดีตที่เต็มไปด้วยความสุขนั้นหวนกลับมาหาเขาแต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขาเป็นสุขสักนิด มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าที่มยองซูจะรับไหว
ถ้าเป็นไปได้ เขาจะไม่ตัดสินใจเปลี่ยนสถานะของตัวเองกับซองยอล มยองซูจะไม่เอ่ยปากขอซองยอลคบ หากมันจะทำให้เขาต้องเสียอีกคนไปแบบนี้

มันเร็วไปหรือเปล่า มยองซูได้แต่คิดในใจว่าเรื่องราวความรักในฐานะคนรักของเขากับซองยอลมันจบลงเร็วไปหรือเปล่า หรือว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นกันแน่
.
.
.
"ซองยอล" มยองซูเรียกซองยอลในขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับบ้าน บ้านของมยองซูกับบ้านของป้าซองยอลที่คนน่ารักมาอาศัยอยู่ด้วยในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยนั้นอยู่ตรงข้ามกัน
และเรื่องที่ชวนให้ประหลาดใจก็คือมยองซูกับซองยอลเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่คนละคณะเท่านั้น จึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ไปเรียนพร้อมกัน ถ้าพักพร้อมกันก็จะไปทานข้าวพร้อมกัน ส่วนตอนเย็นก็จะรอกลับบ้านพร้อมกัน แม้จะต้องนั่งรอนานก็ตาม
"หือ?" ซองยอลตอบกลับมาทั้งๆที่กำลังคาบกล่องนมที่ดูดนมออกไปหมดแล้ว
"ฉันคิดว่า ฉันคงจะชอบนายล่ะ" มยองซูพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ในใจของเขากลับกำลังเต้นแรงและเร็วเสียจนน่ากลัว มยองซูไม่กล้ามองซองยอลเพราะเขากลัวที่จะปิดบังความเขินอายของตัวเองเอาไว้ไม่ได้
"อะไรนะ!?" ซองยอลร้องถามเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง จากนั้นคนหน้าหวานจึงลดระดับเสียงลงจนแทบจะกระซิบ "นายว่าอะไรนะ"
"ฉันชอบนายไงเล่า!" มยองซูพูดกระแทกเสียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงดังเท่ากับซองยอล เพราะมยองซูไม่กล้ามองหน้าซองยอล เขาจึงไม่รู้ว่าอีกคนทำหน้าหรือท่าทางแบบไหน แต่ซองยอลก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมาจนมยองซูอดใจหายไม่ได้
ไม่คิดแบบเดียวกันจริงๆเหรอ
ในขณะที่มยองซูกำลังจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ สัมผัสนุ่มที่มือของเขาก็ทำให้มยองซูต้องหันไปมองซองยอลอย่างตกใจ ก่อนจะต้องแย้มยิ้มออกมาด้วยความสุขใจเมื่อเห็นใบหน้าหวานที่ขึ้นสีระเรื่อเพราะความเขินอายของคนข้างกาย
"คิดว่าชอบอยู่คนเดียวหรือไง" ซองยอลถามเขากลับมาพลางก้มหน้างุดๆจนแทบจะชิดอก
"ลองคบกันไหม" มยองซูถาม "เป็นแฟนกันไหม อีซองยอล"
"ไม่ลองได้ป่ะ" ซองยอลเลิกคิ้วถามมยองซู ก่อนที่คนหน้าหวานจะยิ้มกว้างและกระชับมือให้แนบแน่นขึ้น "คบกันไปนานๆได้ไหม คิมมยองซู"
"หึ" มยองซูหัวเราะในลำคอแล้วออกแรงดึงให้คนที่สูงกว่าเขาเดินตามหลังมา "แน่นอนว่าต้องคบกันนานอยู่แล้ว เป็นแฟนกันแล้วนะซองยอล"
.
.
.
ใครกันนะที่เคยบอกเอาไว้ว่าความสุขนั้นช่างแสนสั้น
มยองซูนึกอยากจะเดินเข้าไปบอกกับเจ้าของคำพูดนั้นเหลือเกินว่าเขาเห็นด้วย มันสั้นเสียจนเขาไม่ทันได้เตรียมใจ
เร็วไปหรือเปล่า มยองซูทำได้เพียงถามตัวเองอีกครั้ง สัมผัสอันแสนอ่อนโยนและอบอุ่นของใครคนนั้นยังคงเป็นเช่นนั้นในเมื่อวาน แต่ในวันนี้มยองซูกลับถูกทิ้งไป
อะไรกัน บอกเหตุผลให้มากกว่านี้ไม่ได้หรือไง





What is the reason that makes you want to go?
Could you tell me?





ร่างหนาก้าวเดินอย่างอ่อนแรงออกจากที่ตรงนั้น ในหัวยังคงมีความคิดวุ่นวายตีกันมั่วไปหมด
ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ท่าทางเง้างอนของซองยอลยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ ยากนักที่จะลบเลือน
โดยเฉพาะในตอยที่เขาและซองยอลมีความสุขด้วยกัน ทั้งตอนตื่น ตอนหลับ มยองซูยังจำได้ดี
ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกันครั้งแรก เดทครั้งแรก จูบครั้งแรก หรือครั้งแรกของเขาทั้งสองคน มยองซูก็ยังคงจำได้ดี
.
.
.
"กลัวเหรอ" มยองซูกดยิ้มเจ้าเล่ห์พลางทอดสายตาไปยังร่างกายเปลือยเปล่าที่ดูเย้ายวนของซองยอล ก่อนจะเลื่อนมือไปตะปบที่สะโพกสวยของซองยอลพร้อมกับเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเอง
"ใครจะไปเชี่ยวชาญแบบนายล่ะ!" ซองยอลก็ยังคงเป็นซองยอล ถึงแม้จะเขินอายกับสายตาของเขาจนทั้งใบหน้านั้นขึ้นสีแดงจัด แต่เจ้าตัวก็ยังคงร้องโวยวายออกมาเหมือนเด็กไม่มีผิด
"จะเริ่มแล้วนะ" มยองซูว่าพลางนวดคลึงบั้นท้ายของอีกคนอย่างหลงใหล ก่อนจะก้มลงไปมอบจุมพิตเนิ่นนานที่ทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อนให้กับอีกฝ่าย ไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงซอกคอของที่ชวนให้ประทับร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของลงมือ
มือหนาที่นวดคลึงบั้นท้ายของซองยอลก็ค่อยๆเคลื่อนไปบุกรุกช่องทางที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสของอีกคน

"อ๊ะ!" เสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดดังขึ้นทันทีที่นิ้วเรียวยาวของมยองซูบุกรุกเข้าไปในร่างกายของอีกคน ดวงตากลมโตคู่หวานคลอไปด้วยหยาดน้ำตาจนมยองซูต้องก้มลงไปเพื่อจูบซับน้ำตาให้พร้อมเอ่ยปลอบประโลมอีกฝ่าย
"อย่าเกร็งนะ" เขาบอกซองยอล อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับช่องทางที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้นจนมยองซูสามารถส่งนิ้วเข้าไปสำรวจด้านในได้มากขึ้นจนเขาคิดว่าซองยอลน่าจะพร้อมแล้ว
มยองซูถอนนิ้วทั้งสามออกมาจากร่างกายของอีกคนจนซองยอลกระตุกวาบ ใบหน้าหวานนั้นดูโล่งขึ้นจนเห็นได้ชัด มยองซูทำได้เพียงกดยิ้มออกมาอย่างนึกขัน ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในร่างกายของซองยอลอย่างอุกอาจ คนน่ารักได้แต่ร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บปวด ซึ่งมยองซูก็ทำได้เพียงกระซิบอย่างปลอบประโลมเท่านั้น
จนกระทั่งเขารู้สึกว่าช่องทางที่รัดแน่นจนเขารู้สึกเจ็บในตอนแรกเริ่มผ่อนคลายขึ้นแล้วมยองซูจึงเริ่มขยับตัว
ในช่วงแรกเขาขยับกายได้เพียงเนิบนาบเพราะช่องทางนั้นยังคงรัดแน่นอยู่ เสียงครางหวานหูของซองยอลเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ชั้นดี
มยองซูรู้สึกราวกับว่าเขากำลังถูกคนรักของตนเองฉุดดึงให้หล่นลงไปในห้วงกามารมณ์ จนยากนักที่จะถอนตัวขึ้นมา ซองยอลน่าหลงใหลเพราะการยั่วยวนโดนไม่รู้ตัวของคนน่ารักเอง ใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อนั้นกำลังบอกให้เขารู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกดีแค่ไหน เสียงคราวผะแผ่วที่แสนหวานที่เขาได้ยิน เสียงลมหายใจอันหนักหน่วงของซองยอลและตัวเขาเอง สัมผัสจากผิวกายที่เสียดสีกันในทุกครั้งที่ขยับตัว
ทุกสิ่งเหล่านี้ทำให้มยองซูรู้สึกลุ่มหลงซองยอลมากกว่าแต่ก่อน จากที่รักโดยไม่มีเรื่องของเซ็กซ์มาเกี่ยวข้องมยองซูก็คิดว่าเขารักซองยอลมากแล้ว แต่เมื่อซองยอลเป็นของเขาแล้วมยองซูกลับรู้รักร่างบางใต้อาณัตินี้มากกว่าเดิม ความหวงแหนเพิ่มขึ้นเสียจนมยองซูรู้สึกแปลกใจ
มยองซูอยากให้ซองยอลเป็นของเขาคนเดียว
"ต้องเป็นของฉันแค่คนเดียวนะ ซองยอล" มยองซูก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของเจ้าของชื่อ
"อ อื้อ" ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นเป็นการตอบรับหรือเป็นเสียงครางของอีกฝ่ายกันแน่ แต่มยองซูกลับแย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาขยับกายเข้าออกอย่างหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นพร้อมกับเลื่อนมือไปปรนเปรอให้คนรักเมื่อมยองซูรู้สึกว่าฝั่งฝันกำลังจะมาถึง
สิ่งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่จึงมีเพียงเสียงหอบหายใจ ใบหน้าแดงๆของซองยอลและรอยยิ้มอย่างชอบใจของมยองซูเท่านั้น
.
.
.
เรามีความสุขด้วยกันไม่ใช่เหรอ เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของมยองซู คำถามที่ไม่มีคำตอบจากใครคนนั้น
คนที่ทิ้งเขาไป

มยองซูไม่เข้าใจซองยอลเลยจริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องราวของเขากับซองยอลถึงต้องจบลงแบบนี้ ทำไมนะ
มยองซูทำได้เพียงถามตัวเองอีกครั้ง





I don't know why our love is being like this.
If it's my faults, just tell me.
I'll do everything for you if it makes you to stay with me.





มยองซูไม่เคยเตรียมใจมาก่อนว่าเขาจะต้องเสียซองยอลไปในวันนี้ เขาคิดมาตลอดว่าซองยอลจะอยู่กับเขาไปตลอดเหมือนที่เป็นเสมอมา ตั้งแต่เขาทั้งสองคนเป็นเพียงแค่คนรู้จักที่บ้านอยู่ตรงข้ามกัน เปลี่ยนมาเป็นคนรู้ใจที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ก่อนจะกลายมาเป็นคนรัก
แต่มันก็จบลงแล้ว
มยองซูกดยิ้มเยาะหยันให้ตนเองเล็กน้อยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอีกครั้งราวกับคนหมดเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไป
เขาปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้าออก มยองซูกำลังเสียใจและเสียศูนย์ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมซองยอลถึงจากเขาไป ทั้งๆที่เขาทั้งสองคนไม่เคยผิดใจกัน ไม่เคยนอกใจกัน เขาทั้งสองคนมั่นคงกับความรักเสมอมา มีเพียงกันและกัน จนมยองซูเผลอคิดไปว่ารักนี้จะเป็นนิรันดร์ เหมือนที่ใครคนนั้นได้พูดเอาไว้
.
.
.
"นี่มยองซู" เสียงหวานใสของคนที่นั่งพิงอกเขาดังขึ้น "เราจะรักกันไปได้นานแค่ไหนนะ"
"อืม..." คิมมยองซูได้แต่ทอดเสียงยาว ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตบนแก้มเนียนของอีซองยอลที่หลับตาพริ้มเมื่อถูกเขาสัมผัส "จนกว่านายจะหมดรักฉันล่ะมั้ง"
"ถ้างั้นก็ไม่มีวันนั้นน่ะสิ" ซองยอลพูดเสียงสดใส ก่อนที่คนตัวบางจะหันมาหาเขาทั้งตัวแล้วใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบคอของเขาเอาไว้
"จริงเหรอ?" มยองซูแกล้งถามคล้ายกับว่าไม่เชื่อในคำพูดของอีกคน
"ไม่เชื่อซองยอลเหรอมยองซู" คนหน้าหวานตรงหน้าทำหน้าหงอยจนมยองซูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดู เขาจึงยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตที่กลีบปากสีสวยนั้นเพียงแผ่วเบา
"ทำไมจะไม่เชื่อล่ะครับ" มยองซูกระซิบที่ข้างหูของซองยอล ก่อนจะรั้งร่างของอีกคนเข้ามากอดไว้แน่น "ฉันก็รักซองยอลจนไม่รู้ว่าจะหมดรักได้หรือเปล่าเหมือนกันนะ"
.
.
.
หายไปไหนแล้วล่ะคนที่พูดกับเขาแบบนั้น มยองซูได้แต่ร้องถามอยู่ในใจ





Everything that you've ever told me, is it all a lie?





โกหกอย่างนั้นเหรอ ถ้อยคำที่บอกกับเขาเสมอมาเป็นเพียงแค่คำพูดลวงหลอกของอีกคนอย่างนั้นเหรอ
มยองซูอยากให้ตัวเองมีเวทมนตร์ เขาอยากย้อนเวลากลับไป กลับไปยังสมัยที่เขากับซองยอลยังไม่รู้จักกัน อยากจะกลับไปแก้ไขเรื่องของวันวาน กลับไปดูให้รู้ว่าเขาทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ
มยองซูผิดอะไร ทำไมซองยอลถึงต้องทิ้งเขาไป
.
.
.
เราเลิกกันเถอะมยองซู” ซองยอลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาของซองยอลกำลังรินไหล ในขณะที่มยองซูคิดอะไรไม่ออก ความคิดมากมายมันตีกันอยู่ในหัวของเขา มยองซูอยากเดินเข้าไปกอดซองยอลเอาไว้ ปลอบประโลมไม่ให้อีกฝ่ายต้องร้องไห้เสียใจ แต่ในขณะเดียวกันก็อยากถามว่าทำไมถึงต้องเลิกกัน
"ท ทำไม" มยองซูเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เขาอยากจะยิ้มแล้วถามซองยอลออกไปว่าอีกฝ่ายล้อเล่นใช่หรือเปล่า
แต่มยองซูทำไม่ได้
"เลิกกันเถอะ" ซองยอลไม่พูดอะไรนอกจากคำนั้น
ทั้งๆที่ซองยอลเป็นคนพูดคำนั้นออกมาแท้ๆ แต่ซองยอลเองก็ดูเจ็บปวด จนมยองซูรู้สึกเจ็บตามไปด้วย
"บอกเหตุผลที่ทำให้เราเลิกกันมาก่อนสิ!" มยองซูขึ้นเสียงใส่ซองยอลจนคนตัวบางถึงกับสะดุ้ง
ซองยอลไม่ชอบเสียงดัง แต่มยองซูก็เผลอทำเสียงดังใส่
"เลิกกันเถอะนะ"
"ทำไมล่ะซองยอล" มยองซูถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "เรา...เรารักกันไม่ใช่เหรอ"
"เชื่อฉันเถอะนะ" ซองยอลพูดพร้อมกับสะอื้นเสียจนไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่น "เลิกกับฉันเถอะ"
"ไม่.." มยองซูปฏิเสธพร้อมๆกับน้ำตาที่รินไหล "นายไม่มีเหตุผล"
"เหตุผลของฉันก็คือเราควรเลิกกัน" ซองยอลตอบกลับมา
"แล้วทำไมเราถึงต้องเลิกกันล่ะ?" มยองซูถามกลับ "เราก็มีความสุขกันดีไม่ใช่หรือไง ไม่มีใครขัดขวางความรักของเราไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมล่ะซองยอล... ทำไมเราถึงต้องเลิกกันอย่างนั้นเหรอ"
"อยากได้เหตุผลมากใช่ไหม" ซองยอลเอ่ยถามอย่างยากลำบาก คนตัวบางดูเจ็บปวดกับการพยายามพูดเสียจนมยองซูอยากจะคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็รู้ว่าเขาทำไม่ได้ เมื่อได้ยินคำนั้นจากปากของคนที่เขารักมากที่สุด
"ฉันไม่ได้รักนายแล้ว คิมมยองซู"
.
.
.
การจะหมดรักใครสักคนมันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ มยองซูนึกอยากจะถามซองยอล ทั้งๆที่อีกคนไม่เคยมีท่าทีว่าจะหมดรักกัน ไม่ได้แสดงท่าทางเบื่อหน่ายหรือเหินห่างกันไป แต่ซองยอลกลับบอกกับเขาว่าเจ้าตัวไม่ได้รักเขาแล้ว
มันทำให้มยองซูอยากถามซองยอลเหลือเกินว่าที่ผ่านมา ที่บอกว่ารัก ทุกคำพูด ทุกการกระทำมันเป็นเพียงการแสดงของอีกฝ่ายหรือเปล่า
แท้จริงแล้วซองยอลหมดรักมยองซูไม่นานแล้วใช่หรือเปล่า
ไม่ว่าอย่างไร มยองซูก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้จริงๆ




You walked away and left me pains.

Of course, our memories give me so much pain.




end.

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

[FIC] Passionate: 10th ☆ Myungyeol

Passionate
10th - Farewell

Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Romantic Drama
Author: khanunys
A\N: - คนใจร้ายหลอกให้เราเปิดจอง ทำไมไม่จองกัน T^T #สติเราหลุดค่ะอย่าสนใจ แต่จองได้ -> สั่งจองฟิค
- ถ้าบอกว่านี่ตอนจบจะตบเราไหม ล้อเล่นนะ มี epilogue XD
-  ไปสกรีมกันเต๊อะ ที่เดิมเลยโนะ #ฟิคพชน 








-passionate-









อีซองยอลเดินเข้าไปภายในตัวอาคารอันเป็นที่ตั้งของบริษัท KSG อย่างเหม่อลอย คนหน้าหวานแวะทักทายยุนนาบีที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เหมือนกับทุกวัน เพียงแต่วันนี้บนใบหน้าเนียนนั้นกลับไม่มีรอยยิ้มเหมือนเช่นเคย จนหญิงสาวต้องเอ่ยถามด้วยความห่วงใยว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งซองยอลก็ตอบกลับไปสั้นๆว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไร


ซองยอลโกหก


เป็นสิ ซองยอลกำลังเจ็บปวดและคิดไม่ตกว่าเขาจะจบเรื่องราวของเขากับคิมมยองซูได้อย่างไร จริงอยู่ที่ซองยอลมีความสุขเวลาที่เขาได้อยู่กับมยองซู แต่ทว่าในช่วงเวลาที่มีความสุขนั้นมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกผิดไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความรู้สึกเหล่านั้นมันเด่นชัดขึ้นตอนที่ภรรยาของคิมมยองซูมาบอกให้เขาเดินออกไปจากชีวิตคู่ของพวกเขาเสียที


ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายาวๆด้วยความเหนื่อยใจ พร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปภายในลิฟท์ โดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนยืนอยู่ด้านใน


“จะหลบหน้าฉันอีกนานไหม อีซองยอล” เสียงที่ซองยอลมั่นใจว่าเขาคุ้นเคยกับมันในระยะเวลาสั้นๆดังขึ้น เรียกให้คนหน้าหวานต้องเงยหน้าขึ้นมามองตามต้นเสียง


“ฉันไม่ได้หลบสักหน่อย” ซองยอลโต้กลับไปด้วยท่าทางสบายๆ “เป็นยังไงบ้างล่ะมยองซู อยู่กับคุณอึนฮเยคงมีความสุขดีสินะ”


“ซองยอล” มยองซูเอ่ยเรียกคนหน้าหวานด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเครียดอยู่ในที “ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้ได้ไหม”


“ฉัน...” แนวฟันขาวขบลงบนกลีบปากนุ่มเพื่อสะกัดกลั้นอารมณ์ ก่อนที่เจ้ตัวจะถอนหายใจออกมายาวๆ “เอาเป็นว่าคืนนี้เจอกันที่ห้องฉันก็แล้วกัน”


“ได้” มยองซูตอบรับ ก่อนที่คนหน้าหล่อจะกวาดตามองซองยอลอย่างถี่ถ้วน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนที่เรียวปากบางจะเอ่ยถาม “สีหน้านายดูไค่อยดีนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”


“เปล่า” ซองยอลปฏิเสธพร้อมกับหันหน้าหนีเมื่อมยองซูยื่นมือมาคล้ายจะวัดไข้ให้กับเขา “ฉันสบายดี”


ท่าทางของซองยอลทำให้มยองซูชะงักอยู่กับที่ คนหน้าหล่อค่อยๆลดระดับมือลงในขณะที่ดวงตาคมยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีซองยอลอย่างไม่วางตา นัยน์ตาของคิมมยองซูฉายแววประหลาดในขณะที่จับจ้องไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ภายในลิฟท์ตัวเดียวกัน ร่างหนาเตรียมจะสาวเท้าเข้าไปใกล้กับอีกคนให้มากกว่านี้ หากแต่เสียเตือนว่าประตูลิฟท์กำลังจะเปิดกลับทำให้ชายหนุ่มต้องล้มเลิกความตั้งใจนั้น


“เจอกันตอนเย็นก็แล้วกัน” คนหน้าหล่อเอ่ยบอกซองยอลซึ่งพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบรับ ก่อนที่มยองซูจะเดินออกจากลิฟต์ไปโดยไม่ได้หันหลังกลับมา จึงไม่อาจเห็นว่าอีซองยอลได้ยกมือขึ้นมากุมบริเวณหน้าอกที่หัวใจไม่รักดีของเขามันกำลังเต้นระรัวเพราะท่าทีที่ดูเป็นห่วงเป็นใยของคิมมยองซู


ซองยอลไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกของตนเองอีกแล้ว






- passionate –






ความตึงเครียดปกคลุมอยู่ทั่วแผนก Production design จนอีซองยอลผู้ซึ่งเพิ่งมาถึงต้องตกใจกับความตึงเครียดที่เจ้าตัวสัมผัสได้ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันจนหัวคิ้วขึ้นเป็นรอย จากนั้นคนหน้าหวานจึงสาวเท้าเข้าไปหาอีโฮวอนที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อเอ่ยถามถึงที่มาที่ไปของบรรยากาศเช่นนี้


“โฮวอนนี่” ชื่อน่ารักๆที่ซองยอลเพิ่งจะตั้งให้กับคนตัวหนาเรียกให้อีโฮวอนต้องหันมาตามเสียง คิ้วหนาเลิกขึ้นเป็นเชิงถามไถ่ถึงสาเหตุที่อีซองยอลเอ่ยทักเจ้าตัว “เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมทุกคนดูเครียดกันขนาดนี้”


“หัวหน้าบอกว่าจะเรียกประชุมตอนบ่ายนี้ เพื่อจะสรุปว่าคอนเซ็ปต์ที่เพิ่งได้รับมาเราจะออกแบบงานออกมาแบบไหนน่ะครับ คุณซองยอล” โฮวอนตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ดูเคร่งเครียด “แต่ติดที่ว่ายังไม่มีใครคิดอะไรออก ก็เลยพากันเครียดไปหมด”


“งั้นเหรอ” ซองยอลขบฟันลงบนริมฝีปากอย่างที่เคยชิน ก่อนที่ขายาวจะพาร่างเพรียวตรงไปยังโต๊ะของหัวหน้าแผนกที่อยู่ด้านใน คนตัวสูงทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับอูฮยอนด้วยทีท่าสบายๆจนหัวหน้าแผนกตัวเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมามองซองยอลด้วยความแปลกใจที่อีกฝ่ายยังทำตัวสบายๆในสถานการณ์ที่เคร่งเครียดแบบนี้ได้


“ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเครียดๆพวกนี้เหรอซองยอล” คนตัวเล็กเอ่ยถาม


“รู้สึกตั้งแต่อยู่ข้างหน้าเลยล่ะ” คนหน้าหวานตอบกลับ “แต่พอดีว่าคิดออกแล้วก็เลยไม่เครียดตาม”


“หืม?” นัมอูฮยอนส่งเสียงในลำคอด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คิดออกแล้วเหรอ!


“อื้อ จะเรียกประชุมเลยไหม” รอยยิ้มน่ารักปรากฏบนใบหน้าของซองยอลในขณะที่เจ้าตัวเอ่ยถามคนตัวเล็กตรงหน้า “หรือต้องรอให้ถึงเวลาที่นัดกับคนอื่นในฝ่ายไว้”


“รอตอนบ่ายก็แล้วกัน เผื่อคนอื่นมีไอเดียดีๆมาเสนอ” หัวหน้าแผนกตอบกลับมา ซองยอลจึงยักไหล่เป็นการตอบรับ มือเรียวสวยหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องบางเฉียบของตนเองขึ้นมาเพื่อเปิดเพลงฟัง ปลายนิ้วเรียวกดพิมพ์ข้อความตอบกลับบทสนทนาที่คุยค้างไว้กับคิมซองกยูพร้อมกับใส่หูฟังเข้าไปในหูของตนเอง ทันทีที่เสียงดนตรีสบายๆตามที่คนหน้าหวานชอบดังขึ้น อีซองยอลก็หลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่งที่มีเพียงตัวเขาและความสบายใจที่ได้รับจากเสียงเพลง


เวลาเดินผ่านไปจากนาทีเป็นชั่วโมง จวบจนกระทั่งเดินมาถึงบ่ายโมง เรียกสะกิดที่ไหล่เรียกให้ซองยอลต้องหลุดออกจากวังวนที่ไม่มีใครเข้าไปกับเขาได้ คนหน้าหวานเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามไถ่อูฮยอนซึ่งเป็นคนสะกิดเขา เมื่อคนตัวเล็กชี้ที่นาฬิกาข้อมือของตนเองซองยอลจึงจัดการดึงหูฟังของตนเองออก


“บ่ายแล้วเหรอ” เขาถามคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า คนหน้าหวานจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามหลังนัมอูฮยอนเข้าไปในห้องประชุมของแผนกทันที


“อย่างที่บอกไปแล้วนะว่าบ่ายนี้เราจะมีประชุมเพื่อให้ได้คอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนกว่าที่ฝ่าย Production plan ให้เรามา” นัมอูฮยอนพูดขึ้นทันทีที่ทุกคนในแผนกเข้ามาภายในห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว “ผมต้องขอโทษด้วยที่เร่งรัดให้ทุกคนช่วยกันคิด แต่ว่าถ้าเราไม่รีบจำกัดความคอนเซ็ปต์ของสินค้าตัวใหม่แล้วล่ะก็ ระยะเวลาในการออกแบบของเราก็จะหายไปไม่น้อย และอาจจะเกิดปัญหาแบบไตรมาสนี้ก็คือเราถูกเร่งให้ส่งงานก่อนกำหนด”


“แต่หัวหน้าครับ” คนในฝ่ายคนหนึ่งยกมือขึ้นเป็นการขออนุญาต “เวลาที่เหลือมันก็มีเยอะพอประมาณนะครับ เราอาจจะเลื่อนไปประชุมในสัปดาห์หน้าอีกครั้งก็ได้”


“ผมทราบครับ” อูฮยอนตอบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก “แต่ว่าต่อให้ผมใหเวลาในการคิดมากกว่านี้ก็ไม่ได้แปลว่าจะคิดกันได้ต่างจากนี้ไม่ใช่เหรอครับ”


ไร้คำคัดค้านจากพนักงานคนนั้น ที่พยักหน้ารับคำพูดของอูฮยอนอย่างเสียไม่ได้


“มีใครพร้อมจะนำเสนออะไรไหมครับ” อูฮยอนเอ่ยถาม ซึ่งซองยอลก็ทำเพียงกวาดตามองไปรอบๆที่ประชุม แต่กลับไม่มีใครนำเสนออะไรคนตัวสูงจึงตัดสินใจยกมือขึ้น “เชิญคุณซองยอลครับ”


Precious time ที่ทางฝ่ายโน้นให้มาคือช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราจะได้รับเมื่อเราอยู่กับคนที่เรารักใช่ไหมครับ” ซองยอลเกริ่นนำ “ซึ่งคนที่เรารักที่ว่าก็ถูกแบ่งยิบย่อยออกได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก”


ดวงตากลมโตสุกใสกวาดตามองไปรอบๆห้องประชุม ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “แต่เรื่องสำคัญมันอยู่ที่ว่า สินค้าของบริษัทเราคือเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ดังนั้นจะเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะอยู่กับคนที่เรารักประเภทใดประเภทหนึ่งที่ผมได้พูดไปเมื่อกี้ สถานที่ที่เราใช้ก็มีเพียงที่เดียวคือที่อยู่ของเรา” ซองยอลเว้นวรรคเพื่อหายใจ “ฉะนั้น ผมคิดว่า Precious time ที่ทางฝ่ายโน้นเขาต้องการจะสื่อคือความสุขของเราเมื่อเราอยู่ที่บ้าน โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่กับคนที่เรารัก”


“แล้วเราจะออกแบบมันออกมายังไงล่ะครับ” จางดงอูเอ่ยถามพร้อมกับทำหน้างง


“คอนเซ็ปต์นี้เราจะไม่ฟิกซ์เรื่องสีครับ เนื่องจากเราจำเป็นต้องออกแบบให้เข้ากับทุกเพศทุกวัย เพื่อรองรับทั้งในแง่ของครอบครัว หรืออื่นๆ” ซองยอลว่า “ผมอาจจะไม่สามารถพูดออกไปตรงๆได้ว่าเราจะออกแบบอย่างไรให้มันชัดเจน แต่ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ พวกคุณคิดว่าเฟอร์นิเจอร์แบบไหนที่เหมาะจะใช้ในช่วงเวลาแห่งความสุขที่คุณได้อยู่กับคนที่คุณรัก คุณก็ออกแบบมันมา แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาประชุมกันเพื่อเลือกแบบที่ดีที่สุดเพื่อผลิตและวางขายในตลาด”


“แต่คุณซองยอลครับ” อีโฮวอนเป็นฝ่ายค้านขึ้นมาบ้าง “แบบนี้ก็ไม่ต่างจากการแข่งขันกันในฝ่ายน่ะสิครับ”


“นั่นแหละครับที่ผมต้องการจะสื่อ” ซองยอลยิ้มกว้าง


“ความจริงแบบที่ซองยอลว่ามาก็ดีนะครับ” อูฮยอนพูดขึ้นมาบ้าง “ลองออกแบบกันมาแล้วค่อยมาคัดเลือกอันที่ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนจะออกแบบมามากน้อยเท่าไรก็ได้”


“แต่แบบนั้นมันจะกลายเป็นว่าสินค้าในไตรมาสหน้าไม่ไปในทางเดียวกันไม่ใช่เหรอครับ”


“ถึงแม้เราจะออกแบบมาในความคิดที่ไม่เหมือนกันก็จริง แต่เมื่อเราเลือกอันที่ดีที่สุดได้ เราก็สามารถนำทุกแบบที่เราเลือกมาปรับแต่งให้เข้ากันได้ไม่ใช่เหรอครับ” คนหน้าหวานเอ่ยบอกกับที่ประชุม ก่อนจะได้รับเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นเป็นการยอมรับในความคิดของอีซองยอล เมื่อเห็นเช่นนั้นคนตัวเล็กซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกจึงกล่าวปิดการประชุมทันที


“ขอบคุณนะซองยอล” อูฮยอนพูดกับเขาในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินออกจากห้องประชุม


“จริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนะอูฮยอน” เสียงใสที่กลั้วหัวเราะดังขึ้นตอบอูฮยอน “ฉันก็คิดแบบสนุกๆว่าให้ทุกคนทำตามมุมมองของตัวเองแล้วเอามาเลือกทีหลังเท่านั้นเอง”


“ก็นั่นแหละ” คนตัวเล็กทำปากยื่นเมื่อซองยอลบอกปัดที่จะรับคำชมของตน “ถ้าไม่ได้นายป่านนี้ทั้งแผนกก็ยังเครียดกันอยู่ เอ้อ ไปหาอะไรทานกันไหม”


“คงไม่ได้อะ” ซองยอลปฏิเสธพร้อมกับทำหน้ามุ่ย “ฉันมีนัดกับพี่ซองกยู”


“เรื่องอะไรเหรอ ขอรู้ด้วยคนได้ไหม” คนตัวเล็กทำตาโตจนซองยอลนึกเอ็นดู มือเรียวสวยเจ้าของมันยกขึ้นมาวางแหมะลงบนศีรษะกลมของนัมอูฮยอนก่อนจะขยี้จนผมของหัวหน้าแผนกยุ่งไม่เป็นทรง เสียงร้องโวยวายจากอูฮยอนดังตามมาเป็นการตอบรับการกระทำของซองยอล คนหน้าหวานหัวเราะกับท่าทางเช่นนั้นของคนที่ตอนเจอกันครั้งแรกนั้นทำเป็นเคร่งขรึม ก่อนที่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเจอแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางเบาในตอนที่อีซองยอลตอบคำถามนั้น


“เดี๋ยวพี่ซองกยูจะบอกพวกนายเอง”





- passionate –





อีซองยอลเดินลากเท้าเข้าไปภายในห้องพักของตนเองอย่างหมดสภาพ หลังจากที่รุ่นพี่ผู้เป็นเจ้านายของตนเองพาซองยอลไปตะลอนๆในย่านช็อปปิ้งหลังจากที่เขาเข้าไปคุยเรื่องสำคัญกับอีกฝ่าย โดยสาเหตุที่ซองกกยูหยิบยกมาบอกกับซองยอลว่าทำไมตนถึงต้องพาน้องออกไปตะลอนแบบนั้นเป็นเพราะน้องชายตัวแสบแบบอีซองยอลเอาความเครียดไปโยนใส่


ซองยอลคิดว่าเขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ


เอ่อ คิดว่าแบบนั้นน่ะนะ


“ไปไหนมา” เสียงทุ้มที่เรียกอัตราการเต้นอันหนักหน่วงของหัวใจของเขาดังขึ้นทันทีที่ซองยอลเปิดประตูห้องนอน


“โดนพี่ซองกยูลากไปช็อปปิ้งน่ะ” ซองยอลตอบพร้อมกับวางกระเป๋าเข้าที่ “นายทานข้าวหรือยัง”


“ยัง” มยองซูตอบพร้อมกับปั้นหน้าหงอยๆให้ซองยอลนึกสงสาร “รอนายกลับมาทานด้วยกัน”


“ไปสิ ฉันก็ยังไม่ได้ทานข้าว” มือเรียวสวยยื่นออกไปดึงต้นแขนของคนที่นอนพิงหัวเตียงอยู่ แต่คิมมยองซูกลับขืนตัวไว้พร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์


“ฉันไม่มีแรงเลย เติมพลังให้หน่อยสิ”


“ยังไง”


“หอมแก้มหน่อย” ไม่พูดเปล่า คิมมยองซูยกนิ้วขึ้นมาแตะที่แก้มของตนเองพร้อมกับยกยิ้มอย่างเหนือกว่าให้กับซองยอล หากแต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีคนหน้าหล่อก็รู้สึกราวกับว่าตนเองนั้นลืมหายใจ ในยามที่ริมฝีปากนุ่มของซองยอลถูกกดลงบนแก้มของเขาทั้งสองข้าง


“ปะ หิวแล้ว” คนหน้าหวานเอ่ยเร่ง


“ครับๆ” รอยยิ้มกว้างที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของมยองซูทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั้นยับยู่ ทว่ากลับดูน่าเอ็นดูไม่น้อยในสายตาของซองยอล จนคนหน้าหวานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางเช่นนั้นของมยองซู จนกระทั่งถูกอีกฝ่ายหอมแก้มเป็นการเอาคืนนั่นล่ะ อีซองยอลจึงยอมเงียบเสียงลง


มื้อเย็นของเขาทั้งสองคนผ่านไปอย่างสนุกสนาน หากแต่มยองซูกลับรู้สึกแปลกๆที่มันเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มยอมรับว่าเขารู้สึกมีความสุขไม่น้อยกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ได้รับจากซองยอล แต่ในขณะเดียวกันเขากลับรู้สึกว่ามันแปลก เพราะโดยปกติแล้วซองยอลจะไม่ยอมยิ้มให้เขาง่ายๆเท่าไร


“ซองยอล” มยองซูเอ่ยเรียกซองยอลในตอนที่คนหน้าหวานเดินเข้ามาภายในห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายขานรับในลำคอเบาๆ “เป็นอะไรหรือเปล่า นายดูแปลกๆนะ”


“แล้วเป็นแบบนี้ไม่ดีหรือไง” คนน่ารักยู่ปากก่อนจะเดินมาทรุดนั่งที่ตักของมยองซู ซึ่งคนหน้าหล่อก็ยกแขนขึ้นไปโอบอีกฝ่ายไว้โดยอัตโนมัติ


“เป็นแบบนี้” เขาแสร้งทอดเสียงยาว “...ก็น่ารักดี”


“พูดจาดีนะวันนี้” ซองยอลหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เรียวปากอิ่มน้ำจะประทับลงบนกลีบปากของเขาอย่างแผ่วเบา ซองยอลทำเพียงแนบประทับไว้เช่นนั้นชั่วขณะหนึ่งแล้วผละออก “ฉันให้รางวัล”


ความยับยั้งชั่งใจของคิมมยองซูหมดลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น คนหน้าหล่อแนบจูบให้กับอีกฝ่ายอย่างโหยหา ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมาที่เขาไม่มีโอกาสแตะต้องซองยอลทำให้มยองซูรู้สึกโหยหาเรือนกายของคนตรงหน้าไม่น้อย คนหน้าหล่ออาศัยจังหวะในยามที่ทั้งสองคนแลกจูบกันพลิกร่างของซองยอลให้นอนราบไปกับพื้นผิวของที่นอน


ริมฝีปากบางละออกจากกลีบปากนุ่มของซองยอลแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นลำคอสวยที่เจ้าของมันเอียงคอเพื่อให้เขาสัมผัสได้ง่ายๆ ชายหนุ่มดูดดุนจนผิวกายขาวเนียนของอีกฝ่ายขึ้นสีแดงช้ำ ฝ่ามือร้อนลากไล้สัมผัสไปตามเรือนกายของซองยอลอย่างหลงใหล


เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกปลดออกอย่างไม่เร่งรีบ มยองซูมั่นใจว่าเขาฝากสัมผัสร้อนๆเอาไว้แทบทุกอณูของผิวกายขาวเนียนเกินบุรุษของซองยอล เสียงครางแผ่วผิวที่ได้ยินเป็ฯตัวกระตุ้นอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าไปภายในร่างกายที่ตอบรับเขาช้าๆ


“ซองยอลอา” มยองซูเอ่ยเรียกคนใต้ร่างที่มองเขาด้วยดวงตาหวานเยิ้ม จนคนหน้าหล่ออดไม่ได้ที่จะประกบจูบลงไปบนริมฝีปากแดงระเรื่อ


เครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างหนักหน่วงมิอาจทำให้สัมผัสร้อนจากอีกฝ่ายบรรเทาความร้อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย ซองยอลคิด ริมฝีปากอิ่มน้ำทำได้เพียงอ้าออกเพื่อเปล่งเสียงครวญครางด้วยความรัญจวนให้ผู้กระทำได้ฟัง แขนเรียวไขว้คว้าก่อนจะกอดเกี่ยวลำตัวของคนด้านบนเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว


ผิวกายขาวเนียนละเอียดที่ขึ้นสีชมพูระเรื่อเพราะความร้อนรุ่มของร่างกาย เหงื่อที่ซึมออกมาจากผิวหนังนั้นยิ่งส่งให้ร่างกายขาวเนียนดูเย้ายวนกว่าที่เป็นอยู่ ริมฝีปากอิ่มแดงช้ำที่เผยอออกเพื่อส่งเสียงหอบครางนั้นเรียกร้องให้เจ้าของร่างกายกำยำต้องฉกชิงลมหายใจจากอีกฝ่าย


แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าบทรักที่กำลังบรรเลงอยู่นี้มิใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือควรทำ หากแต่เสียงเรียกร้องภายในหัวใจกลับบดบังความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปจนหมด


รู้ทั้งรู้ว่าคนตรงหน้านั้นมิใช่ใครที่เขามีสิทธิ์ครอบครอง แต่หัวใจดวงนี้กลับไม่รักดีมอบให้คนตรงหน้าเข้ามาครอบครองเสียจนมิอาจเปลี่ยนใจเป็นอื่น


รู้ดีอยู่แก่ใจว่าในวันหนึ่ง อีซองยอลจะไม่มีโอกาสได้กอดคิมมยองซูเอาไว้เช่นนี้ จะไม่มีโอกาสได้ร่วมรักกับอีกฝ่ายนับตั้งแต่เขาคืนคนด้านบนให้กับเจ้าของตัวจริงอย่างคิมอึนฮเย


แต่ในเวลานี้ เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่ซองยอลจะซึมซับทุกสัมผัส ทุกความรู้สึกเอาไว้ให้ได้มากที่สุด


แล้วนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คิมมยองซูจะเป็นของคิมอึนฮเยเพียงผู้เดียว



อีซองยอลคนนี้จะเดินออกไปจากชีวิตคู่ของอีกคนแต่โดยดี


TBC.