1st
Pairing: Kimmyungsoo x Leesungyeol
Genre: AU, Romantic Drama
Author: khanunys
A\N: - เราติดไฟนอลนะคะ ขอหายหัว 2 สัปดาห์มาอีกทีสอบเสร็จ(21)เลยนะ
- เราเพิ่งรู้อ่ะว่า GG+ ของเรามันมีแต่ฟิค กดติดตามเพื่อการอัพเดตได้เด้อ เผื่อเราไม่ได้ไปฝากฟิคกับบ้านไหน
- สำหรับคนที่สั่ง #fic4seasons นัดรับหนังสือวันเสาร์นี้นะคะ อย่าลืมมากันน้าาา อ้อ แล้วก็จัดส่งวันนั้นด้วยนะ! สำหรับคนที่สั่งแบบจัดส่งปณ.เอาไว้ ><
- ขอเชิญทุกท่านสกรีมและติดตามการอัพเดตที่แท็กนี้ #fichoax
- H O A X -
I want to be your love,
but you have to be mine.
ร่างสูงของอีซองยอลเดินเข้ามาภายในบริษัทพร้อมกับอาการปวดหัวจากค็อกเทลที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืนนี้
หลังจากที่เขาตื่นมาในตอนเช้าแล้วโทรไปถามอูฮยอนว่าเขากลับมาถึงคอนโดของตัวเองได้อย่างไร
คนน่ารักก็โดนเพื่อนสนิทบ่นยาวเหยียดจนต้องตัดพ้ออีกฝ่ายกลับไปอย่างอดไม่ได้
อูฮยอนน่ะชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองใจดีกับซองยอล
แต่ความจริงแล้วอูฮยอนนั่นแหละที่ใจร้ายที่สุดเลย
“ฮื้อ
ทำไมมันปวดแบบนี้ล่ะ” ซองยอลพูดพีมพำอยู่กับตัวเองในตอนที่เดินเข้ามาภายในลิฟท์
คนหน้าหวานส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่อาการแฮงค์ของตัวเอง
ก่อนที่ร่างบางจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีสัมผัสเย็นๆมาแตะที่แขน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อหันกลับไปมองทางด้านหลังแล้วได้พบว่าใครคนหนึ่งกำลังยื่นเครื่องดื่มแก้อาการเมาค้างมาให้เขาอยู่
“เอ่อ
ขอบคุณครับหัวหน้า” คนหน้าหวานตอบกลับไปพร้อมกับก้มศีรษะให้กับคิมมยองซูเล็กน้อย
ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิมเพื่อระงับอาการหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาแบบนี้
“ถ้าคุณอีดื่มไม่ได้
เมื่อวานก็ไม่น่าจะดื่มเลยนะครับ”
เสียงของคิมมยองซูที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังทำให้หัวใจของซองยอลเต้นรัว
นับตั้งแต่วันที่เขาสนใจและตกหลุมรักคิมมยองซู มันก็ผ่านมาราวสิบปีแล้ว
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับคนคนนี้
ได้ฟังเสียงของคิมมยองซูที่กำลังพูดกับเขาอย่างเจาะจง
“แต่ถ้าไม่รับมามันก็จะเป็นการทำลายน้ำใจนี่ครับ”
ซองยอลตอบกลับไปเบาๆ
“บอกเหตุผลกลับไปก็จบแล้วครับ”
คนหน้าหล่อสวนกลับมาทันที แต่ยังไม่ทันที่ซองยอลจะได้แก้ตัวอะไรกลับไปอีก
ประตูลิฟท์ก็เปิดขึ้นในชั้นที่ตั้งของแผนกจัดซื้อ
คนน่ารักมองตามแผ่นหลังของมยองซูที่เดินออกจากลิฟท์ไปแล้วก่อนจะกดยิ้มเล็กๆที่มุมปากของตัวเอง
ถึงแม้จะเป็นในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง
แต่คำพูดที่แฝงความห่วงใยและใส่ใจของคิมมยองซูก็ทำให้หัวใจของซองยอลพองโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ความดีใจตีตื้นขึ้นมาในอกจนซองยอลเองก็ยังรู้สึกตกใจ แค่ได้อยู่ใกล้ๆ
ได้พูดคุยแม้อาจจะเป็นเรื่องงาน ได้มองเห็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของคนคนนั้น
แค่นี้อีซองยอลก็พอใจแล้ว
-
H O A X –
ดวงตาเรียวรีของนัมอูฮยอนจ้องมองใหน้าสวยหวานของซองยอลอย่างจับผิด
ตั้งแต่เพื่อนตัวสูงของเขาเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงาน รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของซองยอลยังคงไม่หายไปไหนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ทั้งๆที่เมื่อเช้านี้ตอนคุยโทรศัพท์กัน
ซองยอลยังมีทีท่าว่าเจ้าตัวจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรอยู่เลย
แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่หุบยิ้มเสียทีเล่า
“ซองยอล”
อูฮยอนเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆกัน
“ว่า”
อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ โดยไม่คิดจะหันมามองเขาแม้แต่น้อย
จนคนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะทาบมือไปที่สองข้างแก้มของซองยอล
แล้วออกแรงหันหน้าของอีกคนให้จ้องมองมาที่ตนเอง
“เมื่อเช้ามีอะไรหรือเปล่า
ทำไมถึงยิ้มไม่หุบแบบนี้”
“เมื่อเช้าฉันได้คุยกับมยองซูที่ลิฟท์น่ะ
เขาให้เจ้านี่มาด้วยนะ” มือเรียวสวยที่ยกขวดเครื่องดื่มแก้เมาค้างขึ้นมาอวดให้เขาดู
รอยยิ้มน่ารักที่ปรากฏบนใบหน้า
น้ำเสียงที่แสนสดใสพร้อมกับดวงตาที่ทอประกายความสุขอย่างเปี่ยมล้นของคนตรงหน้า
มันทำให้อูฮยอนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้เขาจะชอบรอยยิ้มของซองยอลมากแค่ไหนก็ตาม
แต่เมื่อได้รู้ว่าคนที่ทำให้เกิดรอยยิ้มนั้นคือคิมมยองซู
หัวใจของเขามันก็เจ็บปวดไปหมด เพราะทุกครั้งที่ซองยอลยิ้มให้เขา
คนหน้าหวานไม่เคยดูมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย
“แล้วคุยอะไรกันไปบ้างล่ะ”
อูฮยอนเอ่ยถาม เพราะเขารู้ดีว่าซองยอลเป็นคนยังไง
และรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้เขาไม่ได้ถาม อีกไม่นานซองยอลก็จะเล่าให้เขาฟังเอง
และความเจ็บปวดมันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร
คนตัวเล็กนั่งฟังซองยอลเล่าเรื่องราวสั้นๆของเหตุการณ์ที่คนหน้าหวานได้พูดคุยกับคิมมยองซูไปพร้อมๆกับจัดการงานของตัวเอง
จนกระทั่งซองยอลเล่าจบไปแล้ว
แต่อูฮยอนกลับยังรู้สึกราวกับว่าเรื่องที่ซองยอลเล่ามานั้นมันยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขาอยู่ตลอดเวลา
วนเวียนอยู่ในหัวของเขาจนอูฮยอนจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเองจนกระทั่ง...
“คุณอี
ไปทานอาหารกลางวันด้วยกันไหมครับ” เสียงทุ้มของคิมมยองซูที่พูดอย่างอ่อนนุ่มอยู่ตรงหน้าอีซองยอลเป็นสิ่งที่ปลุกให้อูฮยอนหลุดออกจากภวังค์
ดวงตาเรียวของคนตัวเล็กจ้องมองใบหน้าหวานของซองยอลที่ขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยพร้อมกับทำหน้าตกใจเพราะคนคนนั้นเข้ามาชักชวน
ก่อนจะเปลี่ยนไปมองคนที่เป็นหัวหน้าของตนเองด้วยความสงสัย
“ค-คือ...”
ซองยอลตอบไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าคำตอบในใจของซองยอลเป็นอย่างไร
“ไปเถอะนะครับ
ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเยอะแยะไปหมดเลย”
มยองซูพูดพร้อมกับส่งยิ้มอ้อนๆที่ทำให้ซองยอลใจอ่อนมาให้
คนหน้าหวานจึงพยักหน้าตกลงไป จากนั้นจึงหันมาถามความเห็นของอูฮยอนดูบ้าง
“อูฮยอนอา
ไปด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะ
นายไปเถอะ” คนตัวเล็กตอบปฏิเสธกลับไป
ใครกันเล่าอยากจะไปนั่งมองคนที่ตัวเองรักมีความสุขกับการอยู่กับคนที่เขารัก
ตอนนี้อูฮยอนคงทำได้เพียงแค่ยอมปล่อยให้ซองยอลได้ไปกับคิมมยองซูเสียก่อน
เพื่อที่เขาจะสามารถเรียกความเข้มแข็งของตัวเองกลับมาให้ได้โดยไว และสามารถยืนอยู่ต่อหน้าอีซองยอลได้โดยไม่เจ็บปวดขนาดนี้
-
H O A X –
รถยนต์คันหรูของคิมมยองซูกำลังแล่นไปบนท้องถนนที่ไม่ค่อยมีรถสักเท่าไร
เพราะถึงแม้มันจะเป็นเวลาพักทานอาหารกลางวันของหลายๆบริษัท
แต่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะออกมาทานอาหารข้างนอกเท่าไรนัก แต่กับคิมมยองซูแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น
คนหน้าหล่อเหลือบมองใบหน้าหวานของคนที่นั่งอยู่บนเบาะที่นั่งข้างคนขับเล็กน้อย
ก่อนจะกดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
พนักงานใหม่ในแผนกของเขา
เป็นคนที่ดูดีแทบทุกกระเบียดนิ้ว
ตั้งแต่หน้าตาที่ทั้งสวยหวานและดูน่ารักซุกซนอยู่ในที กริยามารยาทที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็สามารถรู้ได้ว่าคนคนนี้ถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
การแต่งกายและสิ่งของที่อีกฝ่ายเลือกใช้ก็เหมาะกับเจ้าตัวจนเขาพอจะเดาได้ว่าอีกคนพิถีพิถันพอสมควร
แต่สิ่งที่ติดใจเขามันไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกของคนคนนี้
หากแต่มันคือดวงตากลมโตที่จ้องมองมาที่เขาต่างหาก
คิมมยองซูไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา
เขาเป็นคนเจ้าชู้ เขายอมรับและแน่นอนว่าเพราะเขาเป็นคนแบบนั้น
ชายหนุ่มจึงสามารถอ่านสายตาของคนอื่นๆที่เขาสบตาด้วยได้
หลายครั้งหลายหนที่มยองซูจะพบกับสายตาที่บอกว่าใครคนหนึ่งกำลังตกหลุมรักเขา
หากแต่สายตาของพนักงานใหม่คนนี้มันกลับแปลกออกไป
คุณอีมองเขาราวกับว่าเจ้าตัวรู้จักเขามานานแสนนาน
ดวงตาหวานซึ้งที่มองมาที่มยองซูนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายทั้งที่เดาได้และเดาไม่ได้
แต่คนหน้าหล่อมั่นใจว่าเขาสามารถเดาหัวใจของคนคนนี้ได้
มยองซูมั่นใจว่าหนักงานใหม่คนนี้จะต้องชอบพอเขาอยู่เป็นแน่
หากแต่จะมากน้อยเท่าไรก็แค่นั้นเอง
“ถึงแล้วล่ะครับ”
มยองซูพูดขึ้นหลังจากที่ถอยรถเข้ามาจอดในช่องที่ถูกตีเอาไว้ให้เป็นที่จอดรถ
คนหน้าหล่อหันไปกดยิ้มเล็กๆให้กับคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ
ก่อนที่ดวงตาคมจะมองเห็นริ้วสีแดงอ่อนๆที่ปรากฏขึ้นบนแก้มเนียน
และมันทำให้คิมมยองซูต้องยกยิ้มกว้างกว่าเดิมด้วยความพอใจ
เขามั่นใจว่าเขาจะต้องคิดไม่ผิด
“คุณอีเลือกมาได้เลยนะครับว่าอยากทานอะไร
มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
“อย่าเลยครับ
แค่หัวหน้าพามาถึงที่นี่ผมก็เกรงใจมากแล้ว” คนหน้าหวานเอ่ยปฏิเสธขึ้นมาในทันที
ทำให้มยองซูต้องหันไปจ้องมองดวงหน้าสวยของอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่ครับ
ให้ผมเลี้ยงเถอะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างหนักแน่น
ก่อนที่มยองซูจะผายมือให้ซองยอลเดินเข้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่ง
“ทานร้านนี้เถอะครับ ผมคิดว่าคุณอีน่าจะชอบ”
“ความจริงหัวหน้าไม่เห็นจะต้องเรียกผมว่า
‘คุณอี’ ตลอดเวลาเลยนะครับ” คนหน้าหวานพูดเสียงเบา
ในขณะที่สีหน้าของคิมมยองซูเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง
“ผมไม่อยากเรียกให้ซ้ำกับคนอื่นน่ะครับ”
พูดพร้อมกับกดยิ้มที่มุมปาก
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะมีชื่อที่เอาไว้ใช้เรียกแค่ระหว่างคุณกับผมเหมือนกันนะครับ”
“อะไรเหรอครับ?”
ดวงตากลมโตที่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับร่องรอยของความสงสัยนั้นทำให้มยองซูอดไม่ได้ที่จะมองว่าคนตรงหน้านั้นช่างน่ารัก
น่ารักเสียจนความน่ารักนั้นได้ทำให้เขารู้สึกต้องการคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้นไปอีก
“ผมอยากให้คุณเรียกผมว่า
‘แอล’”
“แอลเหรอครับ
ทำไมถึงเป็นแอลล่ะ?” ซองยอลเอ่ยถามด้วยความสงสัย
คนน่ารักเอียงคอน้อยๆในขณะที่เอ่ยถาม
“เพราะผมอยากเป็น
‘ความรัก (love)’ ของคุณไงครับ”
คำพูดของมยองซูทำให้ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงในทันที
ก่อนที่มันจะแดงขึ้นเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของคนตรงหน้า
“และผมจะเรียกคุณว่า
‘เอ็ม’ เพราะผมอยากให้คุณเป็น ‘ของผม (mine)’”
อีซองยอลได้แต่นั่งหน้าแดงและขยับปากขึ้นลงคล้ายจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่สามารถพูดไปได้อย่างใจนึก
หัวใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งจนเจ้าของมันยังอดตกใจไม่ได้
หากแต่สิ่งหนึ่งที่ซองยอลรู้คือจังหวะการเต้นของหัวใจของเขานั้นมันมีอะไรแฝงอยู่บ้าง
มันมีทั้งความดีใจและความเจ็บปวดคละเคล้ากันไป ดีใจที่ในที่สุดคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดก็หันมามองเห็นเขาเสียที
หากแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียใจที่คนตรงหน้ามองเห็นเขาได้เพียงเพราะต้องการเป็นเจ้าของเขาเท่านั้น
ทว่าสำหรับอีซองยอลแล้ว ต่อให้ต้องเป็นของเล่นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของคิมมยองซู
เขาก็ยอม
“คุณเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อใช่ไหมครับ”
คำพูดของหัวหน้าแผนกจัดซื้อเป็นเหมือนการปิดประตูตายไม่ให้ซองยอลสามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น
ซองยอลเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของมยองซู
และก่อนที่คนหน้าหล่อจะได้พูดหรือถามอะไรเพิ่มเติม เสียงแผดร้องจากโทรศัพท์เครื่องหรูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
คนหน้าหวานโค้งศีรษะน้อยๆเป็นการขอโทษที่ตนเองเสียมารยาท
ก่อนที่จะลุกออกจากโต๊ะมาเพื่อคุยโทรศัพท์หลังจากที่เห็นว่าใครเป็นคนโทรมา
“ครับพ่อ”
เสียงหวานกรอกลงไปที่ไมโครโฟนทันทีที่กดรับ รอยยิ้มเล็กๆถูกวาดขึ้นบนใบหน้าหวานเมื่อได้ยินเสียงพร่ำบอกว่าผู้ให้กำเนิดนั้นคิดถึงเขามากน้อยเท่าไร
ก่อนที่ซองยอลจะตอบกลับไปสั้นๆว่าเขาเองก็คิดถึงบิดาเช่นเดียวกัน
“(พ่อว่าจะย้ายอูฮยอนเพื่อนของลูกให้มาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด
ซองยอลว่าดีไหมลูก)” คำถามจากปลายสายทำให้อีซองยอลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ทำไมท่านประธานถึงมาถามพนักงานใหม่แบบนี้ล่ะครับ
ใช้ไม่ได้เลยนะ” คนน่ารักพูดหยอกปลายสายเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มจริงจังขึ้นมา
“ถ้าถามความเห็นของผม ผมว่าก็ดีครับ
แต่ว่าพ่อควรลองให้อูฮยอนไปทำงานที่ฝ่ายนู้นเสียก่อน
ไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็จะเลื่อนให้เป็นหัวหน้าเลยนะครับ”
“(โอ๊ย
พ่อก็ลืมคิดไป ขอบคุณซองยอลมากนะลูก)”
อีจุงยอบตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเหนื่อยใจกับตัวเองที่มองข้ามเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น
และนั่นก็เป็นสิ่งที่สร้างทั้งรอยยิ้มและเสียหัวเราะให้กับซองยอลได้เป็นอย่างดี
“(จริงสิ
ซองยอล..)” น้ำเสียงของปลายสายที่เปลี่ยนไปทำให้อีซองยอลต้องหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้
แล้วตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดกำลังจะพูดแทน หากแต่เมื่อได้ยินคำถามของบิดา
คนหน้าหวานก็ทำได้เพียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “(ทำงานเป็นยังไงบ้างลูก)”
“พ่อไม่เชื่อใจผมเลยเหรอครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามผู้ให้กำเนิดกลับไปสั้นๆ
“(ไม่ใช่ไม่เชื่อ
แต่ที่พ่อถามเพราะพ่ออยากรู้ต่างหากว่ามีสาวๆหนุ่มๆมาเกาะแกะลูกชายของพ่อหรือเปล่า)”
คำพูดของผู้ให้กำเนิดทำให้อีซองยอลจำต้องคิดถึงหัวหน้าแผนกอย่างคิมมยองซูขึ้นมาไม่ได้
ดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงเปล่งปลั่งในทันทีที่คำพูดของมยองซูลอยกลับเข้ามาในห้วงความคิด
“ต่อให้มี
อีซองยอลคนนี้ก็จะไม่เผลอใจง่ายๆหรอกครับ ตราบใดที่เขาไม่ใช่คนที่ผมรัก”
คนหน้าหวานตอบกลับบิดาไปด้วยคำพูดเดิมที่เคยพูดกับผู้ให้กำเนิดมานับครั้งไม่ถ้วนและน้ำเสียงที่หนักแน่น
ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเอง
ซองยอลก็ยังไม่ได้บอกอีจุงยอบไปว่าคนที่เขารักมาโดยตลอดนั้นทำงานอยู่ที่แผนกนี้...
“(ถ้าอย่างนั้นซองยอลของพ่ออย่าลืมกลับมาที่บ้านด้วยนะ
พ่อคิดถึงเราจะแย่อยู่แล้ว)”
น้ำเสียงหงอยๆของคนเป็นพ่อทำให้ซองยอลต้องฉีกยิ้มกว้างก่อนที่คนหน้าหวานจะตกปากรับคำผู้ให้กำเนิดไปอย่างไม่ลังเล
จากนั้นจึงกดวางสายแล้วเดินกลับเข้าไปภายในร้านอาหาร
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คิมมยองซูลุกออกจากโต๊ะมาเพื่อตามซองยอลให้กลับไปทานอาหารพอดี
“ผมกำลังจะออกไปตามคุณอีพอดีเลยครับ”
หัวหน้าฝ่ายจัดซื้อพูดบอกในทันทีที่เห็นว่าอีซองยอลกำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้าน
สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกซองยอลนั้นยังคงเป็นเช่นเดิมทั้งๆที่คนตรงหน้าบอกกับคนหน้าหวานเอาไว้ว่าจะเรียกเขาในอีกชื่อหนึ่ง
“สุดท้ายก็ยังเรียกผมว่าคุณอีเหรอครับหัวหน้า”
ซองยอลเอ่ยถามพลางกดยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
“ก็คุณอียังไม่ตอบรับว่าจะให้ผมเรียกแบบนั้นหรือเปล่านี่ครับ
แล้วผมจะกล้าเรียกได้ยังไงกัน”
มยองซูพูดพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยของคู่สนทนา
จนซองยอลต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าหัวหน้าอยากเรียกผมให้ไม่เหมือนคนอื่น
เรียกผมว่า ‘ยอลลี่’ ก็ได้นะครับ”
คนน่ารักพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ พร้อมกับแย้มยิ้มอย่างน่ารักให้กับคิมมยองซู
“ชื่อนี้มีคนอื่นนอกจากผมไหมครับที่จะเรียกได้”
มยองซูถาม ก่อนที่ซองยอลจะเอ่ยตอบกลับไป
“นอกจากคุณ
ก็มีแค่คุณพ่อของผมเท่านั้นครับ”
“ขอบคุณนะครับ
ที่ให้ผมเรียกคุณด้วยชื่อที่ดูพิเศษกว่าใคร ยอลลี่ของผม”
คำพูดที่ท้ายประโยคนั้นเรียกให้ใบหน้าเนียนสวยซับสีเลือดได้เป็นอย่างดี
หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งจนซองยอลจำเป็นต้องก้มหน้าก้มตาทานอาหารเพื่อปกปิดความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด
อีซองยอลไม่ใช่คนโง่
เขารู้ดีว่าคิมมยองซูจะต้องรับรู้ความรู้สึกที่แอบซ่อนอยู่ภายในใจของเขาแน่
และแน่นอนว่าซองยอลดีใจที่ในที่สุดมยองซูก็มองเห็นเขาอยู่ในสายตา
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กลัวว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ของเล่นคั่นเวลาของอีกคนเท่านั้น
และถึงแม้จะเป็นได้เพียงแค่ของเล่นนั้นเขาก็พร้อมที่จะยอม เพราะอีซองยอลคนนี้เต็มไปด้วยความละโมบ
เพียงแค่คนที่เขามอบหัวใจให้ไปหันมามองแม้เพียงนิดเดียว
หากแต่เขากลับปรารถนาให้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่เขาเพียงคนเดียว
อีซองยอลไม่อยากให้ดวงตาของคิมมยองซูจ้องมองไปที่คนอื่นอีกแล้ว
-
H O A X –
ร่างสูงของชายหนุ่มหน้าหวานนามอีซองยอลเดินเข้าไปภายในห้องพักของตนเองที่คอนโดหรูใจกลางเมืองด้วยความเหนื่อยล้า
ซองยอลอยากจะพักผ่อนให้เต็มคราบหลังจากที่ถูกคนทั้งฝ่ายเข้ามาช่วยสอนงานให้กับเขาแบบอัดแน่น
เนื่องจากนัมอูฮยอนพนักงานคนสำคัญของฝ่ายจัดซื้อได้รับคำสั่งโยกย้ายให้ไปเป็นรองผู้จัดการฝ่ายการตลาดอย่างกะทันหัน
และแน่นอนว่าอีซองยอลถูกนัมอูฮยอนเคืองไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะเพื่อนสนิทคนนี้คิดว่าเขาไปขอร้องให้พ่อมอบตำแหน่งนี้ให้
ทั้งๆที่ความจริงแล้วท่านประธานอีต่างหากที่เป็นคนต้นคิด
คนหน้าหวานทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มอย่างเหนื่อยอ่อน
ดวงตากลมโตพริ้มหลับเพื่อพักสายตาจนเขาเกือบจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
หากไม่มีเสียงโทรศัพท์ที่แผดร้องจนซองยอลต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ
มือเรียวสวยล้วงเข้าไปในกระเป่ากางเกงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมามองรายชื่อของคนโทรเข้า
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีที่เห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรมา
ซองยอลลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับโทรศัพท์สายนี้
แต่สุดท้ายแล้วคนหน้าหวานก็ตัดสินใจที่จะกดรับ
“สวัสดีครับ”
ซองยอลกรอกเสียงลงไปอย่างสุภาพ
“(ทำอะไรอยู่เหรอครับ)”
คำถามจากปลายสายเรียกความสงสัยให้ปรากฏบนใบหน้าของซองยอลได้เป็นอย่างดี คิ้วที่ขมวดเข้าหากันตั้งแต่ก่อนกดรับสายนี้ขมวดเข้าหากันมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อปลายสายเอื้อนเอ่ยราวกับเป็นคนคุ้นเคยกันเสียอย่างนั้น
“เอ่อ
ไม่ทราบว่านั่นใครเหรอครับ” ตัดสินใจเอ่ยถามไปเพื่อตัดปัญหาและความสงสัยของตนเอง
“(โธ่
ยอลลี่ลืมผมแล้วเหรอครับ)” คำพูดที่ปลายสายใช้เรียกเขานั้นทำให้ซองยอลรู้ได้ในทันทีว่าใครคือคนที่โทรมาหาเขา
คิมมยองซู
“ห-หัวหน้า...
หัวหน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ” คนน่ารักพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
หัวใจดวงน้อยเต้นดังตึกตักจนเขาได้ยินเสียงมันอยู่แผ่วๆเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วซองยอลก็ไม่อาจรู้ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือในตอนนี้เขากำลังแย้มยิ้มด้วยความดีใจ
“(ทำไมไม่เรียกผมว่า
‘แอล’ ล่ะครับ)” ปลายสายท้วง
“ข-ขอโทษครับ
คุณ...แอล”
ซองยอลพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในตอนท้ายประโยคด้วยความไม่มั่นใจและเขินอายเพราะเขาดันเผลอไปคิดถึงคำพูดที่คิมมยองซูได้พูดบอกเขาเอาไว้เมื่อตอนกลางวัน
คำพูดที่ทำให้หัวใจของซองยอลเต้นไม่เป็นส่ำในทุกครั้งที่นึกถึง
“(ผมชอบตอนที่คุณเรียกผมว่าแอลนะครับ)”
มยองซูพูดเสียงนุ่ม ก่อนจะเริ่มชวนซองยอลคุยเรื่องราวต่างๆอย่างเรื่อยเปื่อย
จนคนน่ารักเพลิดเพลินเสียจนลืมเวลา ถ้าหากไม่มีเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นแล้วล่ะก็
อีซองยอลก็คงจะไม่ทันรู้ตัวว่าตนเองคุยโทรศัพท์กับคิมมยองซูนานเกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียว
เวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ซองยอลอดแปลกใจไม่ได้ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกันบ้างถึงได้ใช้เวลาในการโทรนานขนาดนี้
แต่ถึงอย่างนั้นคนหน้าหวานก็ไม่ได้กดวางสายอีกฝ่ายในตอนที่เขากำลังเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน
“คุณแอล
ผมคงต้องวางแล้วล่ะครับ พอดีอูฮยอนมาหาน่ะ”
ซองยอลบอกให้ปลายสายได้รับรู้หลังจากที่เปิดประตูรับเพื่อนสนิทที่นัดกันเอาไว้ตั้งแต่ตอนเลิกงานแล้วว่านัมอูฮยอนจะมาหาเขาเพื่อทำอาหารเย็นทานพร้อมกัน
โดยที่คนหน้าหวานไม่ทันได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนัมอูฮยอนแม้แต่น้อย
คนตัวเล็กจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มในขณะที่พูดคุยโทรศัพท์ของซองยอลด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
ใครกันหนอที่ซองยอลกำลังคุยอยู่ด้วย ทำไมถึงทำให้อีซองยอลดูมีความสุขเสียขนาดนั้น
“คุยกับใครเหรอ”
คนตัวเล็กรีบถามในทันทีที่เห็นว่าซองยอลวางสายจากคนที่เจ้าตัวคุยอยู่เรียบร้อยแล้ว
“มยองซูน่ะ”
คำตอบสั้นๆจากอีซองยอล ทำให้นัมอูฮยอนรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังต้องฝืนยิ้มให้กับเพื่อนสนิทที่ดูมีความสุขอย่างมาก
เพราะนัมอูฮยอนยืนเคียงข้างอีซองยอลในฐานะเพื่อนมาโดยตลอด
รับรู้ความรักที่ซองยอลมีให้กับใครอีกคนเป็นอย่างดี และอูฮยอนยังรู้ตัวเองอีกว่า
ต่อให้เขาก้าวพ้นเส้นของคำว่าเพื่อนออกไปและพยายามมากขนาดไหน
หัวใจของอีซองยอลก็ไม่มีทางเป็นของเขา
“ไอ้บ้านั่นมาจีบนายเหรอ”
อูฮยอนถามออกไปตรงๆ เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังความไม่ชอบใจของตัเองเอาไว้
เพราะซองยอลเองก็รู้ดีว่าอูฮยอนไม่ชอบคิมมยองซูมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะในตอนนี้...
“ไม่น่าจะใช่หรอกอูฮยอนอา”
ซองยอลย่นจมูกก่อนพูด ภาพที่แสนน่ารักนี้ยังคงมีอูฮยอนคนเดียวที่ได้เห็นใช่หรือเปล่า
“อย่าไปทำท่าแบบนี้ใส่ใครนะรู้ไหม”
คนตัวเล็กพูดออกไปอย่างลืมตัว
“ทำไมอ่ะ
มันน่ารักเกินไปเหรอ”
ไม่บ่อยนักที่อีซองยอลจะพูดล้อเล่นทำตัวเป็นคนที่หลงใหลได้ปลื้มในรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองเช่นนี้
เพราะอย่างนั้นอูฮยอนจึงจำเป็นต้องหยอกล้อเพื่อนสนิทของตนเองกลับไปบ้าง
“ไม่น่ารักเลยสักนิดเดียว”
ทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาเห็นด้วยกับที่ซองยอลพูดออกมาทุกประการ
“เดี๋ยวเถอะนัมอูฮยอน!” ซองยอลชูกำปั้นขึ้นมาคล้ายกับว่าเจ้าตัวพร้อมที่จะต่อยอูฮยอนได้ทุกเมื่อ
“กล้าตีฉันเหรอ
ระวังจะอดข้าวเย็นนะ”
“งื้อ
ไม่เอานะอูฮยอนอา ถ้าตัวเล็กไม่ทำข้าวเย็นให้ซองยอลกิน ซองยอลต้องแย่แน่ๆเลย”
คนน่ารักรีบวิ่งเข้าไปคล้องแขนเพื่อนตัวเล็กแล้วเอาศีรษะของตนเองถูไถไปกับไหล่เล็กพร้อมกับเอ่ยอย่างออดอ้อน
ซึ่งท่าทางเช่นนั้นก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวใจอย่างมีความสุขของนัมอูฮยอนได้เป็นอย่างดี
คนตัวเล็กมีความสุขเหลือเกินที่ซองยอลยังคงออดอ้อนเขาอยู่แบบนี้
ถึงแม้หัวใจดวงนี้จะเต้นอย่างเจ็บปวดไปพร้อมๆกับมีความสุขอยู่ก็ตาม
-
H O A X –
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานของอีซองยอลในทันทีที่คนน่ารักเห็นข้าวกล่องที่ถูกแปะกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
ซองยอลยื่นมือไปดึงกระดาษแผ่นเล็กออกมาเพื่ออ่านข้อความบนนั้นก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกว้างยิ่งกว่าเดิมจนดวงตากลมโตนั้นหยีลงอย่างน่ารัก
‘อาหารเช้าสำคัญนะครับ อย่าลืมทานล่ะยอลลี่ของผม จาก แอล’
หลังจากอ่านข้อความบนกระดาษเรียบร้อยแล้วคนน่ารักก็เตรียมตัวที่จะนั่งลงเพื่อทานอาหารกล่องนี้
หากแต่เพื่อนที่ทำงานในแผนกเดียวกันกลับรีบเดินมาบอกเขาว่า ‘หัวหน้า’ เรียกพบด่วน
ซองยอลได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจกับคำพูดนั้น
ก่อนที่เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์เครื่องหรูจะดังขึ้นให้เขาหันไปให้ความสนใจ
‘เอากล่องข้าวมาด้วยนะครับ มาทานข้าวเช้าด้วยกันนะ’
ชั่วขณะหนึ่งอีซองยอลเผลอวาดฝันไปว่า
หากวันหนึ่งเขากับคิมมยองซูตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกัน ทานอาหารทุกมื้อพร้อมกัน
ไปไหนมาไหนด้วยกัน มันจะมีความสุขขนาดไหนกันหนอ
คนหน้าหวานกดยิ้มเล็กๆที่มุมปากก่อนจะเคาะประตูห้องของผู้จัดการแผนก แล้วเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงร้องอนุญาตดังมาจากด้านใน
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
เสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู
เรียกให้อีซองยอลต้องหันไปมองข้างกายด้วยความตื่นตระหนก
ก่อนจะพบว่าเป็นคิมมยองซูนั่นเองที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของเขา
ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะมายืนแอบอยู่ใกล้ๆกับประตูได้พักใหญ่แล้ว
“อรุณสวัสดิ์ครับ
หัวหน้า” ซองยอลพูดเบาๆ
“ผมบอกให้คุณเรียกผมว่า
แอล ไม่ใช่เหรอครับ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อถูกส่งมาจากคิมมยองซู
พร้อมๆกับคนพูดที่ทำหน้าบึ้งแล้วเดินหนีไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
ร้อนให้ซองยอลต้องรีบเดินตามไปหยุดยืนอยู่ที่อีกฝั่งของโต๊ะ
“ขอโทษครับ
คุณแอล”
“ผมไม่ได้โกรธหรอกครับ
นั่งเถอะจะได้ทานข้าวเช้านะ” ซองยอลไม่ได้พูดอะไรเพื่อตอบกลับไป
คนน่ารักทำเพียงทรุดตัวลงนั่งแล้วเปิดกล่องข้าวออกเพื่อทานอาหารเช้าที่ได้มาจากคนตรงหน้าเงียบๆ
จนกระทั่งคิมมยองซูเลือกที่จะทำลายความเงียบขึ้นมาเสียเอง
“ยอลลี่...”
“ครับ?”
ชายหนุ่มหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เอ่ยเรียกตัวเองเมื่อครู่
ก่อนจะเอียงคอน้อยๆด้วยความสงสัย หากแต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที
ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เมื่อสัมผัสนุ่มหยุ่นถูกประทับลงบนริมฝีปากนุ่ม แก้มเนียนใสขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนที่เปลือกตาของเขาจะค่อยๆปรือแล้วปิดลงในที่สุด
จนกระทั่งสัมผัสบางเบาที่ริมฝีปากถูกทอดถอนออกไป
อีซองยอลจังลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความเขินอาย
และหัวใจที่เต้นแรงเพราะประโยคนั้นของคิมมยองซู
“ผมชอบคุณนะ”
TBC.