-passionate-
คิมมยองซูตื่นขึ้นมาในตอนเช้า
คนหน้าหล่อขยับใบหน้าให้เกิดรอยยิ้มโดยที่เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ยามเห็นใบหน้าหวานที่กำลังหลับตาพริ้มราวกับเจ้าหญิงตัวน้อยๆ
ดวงตากลมปิดสนิทจนสามารถเห็นขนตาที่เรียงตัวเป็นแพยาว ริมฝีปากสีชมพูตามธรรมชาติที่เผยอออกเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวหลับสนิท
แต่มันกลับดูยั่วตายั่วใจจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะประทับจูบอันแผ่วเบาลงบนริมฝีปากของคนในอ้อมแขน
“ฮื้อ”
เสียงครางฮือด้วยความไม่พอใจดังขึ้นจนมยองซูต้องผละออกในทันที
คนหน้าหล่อยิ้มเผล่ออกมาด้วยความดีใจยามที่คนหน้าหวานซุกใบหน้าเข้ากับอ้อมอกของตนเองมากกว่าที่เคย
ชายหนุ่มเตรียมจะก้มลงไปหาเศษหาเลยกับซองยอลอีกครั้ง
แต่เสียงโทรศัพท์ที่ร้องดังทำให้มยองซูต้องคว้ามารับอย่างรวดเร็ว
“ครับ”
มยองซูกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ทันทีที่กดรับสาย คิมซองกยูเจ้านายและรุ่นพี่ของเขาโทรมาบอกให้มยองซูไปเข้าประชุมด่วน
คนหน้าหล่อนึกเสียดายช่วงเวลาที่จะได้กอดตัวนุ่มๆของซองยอล
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องตัดใจลุกจากที่นอน
“ซองยอลอา”
แต่มิวายปลุกอีกคนที่กำลังหลับสบายขึ้นมา
“หือ”
เพราะซองยอลเป็นคนตื่นง่าย เพียงแค่เรียกเบาๆและสะกิดนิดหน่อย อีกคนก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
ถึงแม้ว่าจะยังสะลึมสะลืออยู่ก็ตามที
“ฉันไปประชุมนะ”
มยองซูเอ่ยบอกให้คนบนเตียงรับรู้
ซึ่งซองยอลก็พยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับแล้วพลิกตัวไปซุกหน้าลงกับหมอนใบโต
ในขณะที่คิมมยองซูทำได้เพียงยิ้มออกมาให้กับท่าทางน่ารักๆแบบนั้น
คนหน้าหล่อออกจากห้องของซองยอลเพื่อกลับไปที่ห้องพักของตนเอง
ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบรุดออกจากคอนโดเพื่อไปให้ทันเวลาประชุม
เมื่อมยองซูไปถึงบริษัทก็ถึงเวลาเปิดประชุมพอดี
และเรื่องที่ทำให้ซองกยูเรียกประชุมเล็กที่มีเพียงเขาและคนในฝ่ายออกแบบเพียงไม่กี่คนนั้นก็ทำให้คิมมยองซูรู้สึกราวกับหัวใจของเขากำลังหยุดเต้น
“อีซองยอลจะเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่มีกำหนดกลับ”
คิมซองกยูพูดขึ้นเมื่อคนที่เจ้าตัวเรียกระชุมด่วนนั้นมากันครบแล้ว
“ท-ทำไมล่ะครับ”
นัมอูฮยอน
หัวหน้าแผนกออกแบบผลิตภัณฑ์ละล่ำละลักถามคิมซองกยูในทันทีที่นักธุรกิจหนุ่มพูดจบ ต่างจากมยองซูที่ทำได้เพียงนั่งเฉยๆ
เพราะเขาไม่รู้ว่าในตอนนี้เขาควรทำอย่างไร เขาไม่รู้ว่าเขาควรถามอะไร
ไม่รู้ว่าต้องแสดงสีหน้าแบบไหน
มยองซูไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
“ผมคงไม่สามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงของเขาได้”
ซองกยูตอบ “ซองยอลไม่ได้บอกอะไรกับผมเลย นอกจากเรื่องที่เขาจะไปต่างประเทศ
กับเรื่องงานของเขา”
“จริงสิ
ซองยอลจะไปต่างประเทศ แล้วงานของซองยอลจะทำอย่างไรเหรอครับคุณซองกยู”
จางดงอูอีกหนึ่งสมาชิกของฝ่ายออกแบบเอ่ยถามชึ้นบ้าง
“ในเรื่องนี้
ซองยอลจะติดต่องานกับผมโดยตรงและจะส่งงานผ่านอีเมลแทนการนำงานเข้ามาส่งกับมือครับ”
“คุณจะมาพูดว่าคุณไม่รู้สาเหตุไม่ได้นะ!”
อยู่ดีๆนัมอูฮยอนก็ร้องขึ้นเสียงดัง “ซองยอลเป็นอะไร ทำไมถึงต้องไปด้วยล่ะ!
คุณต้องถามเขาสิครับคุณซองกยู เอาที่อยู่ของเขามาให้ผม ผมจะไปหาเขาตอนนี้เลย!”
“ใจเย็นๆสิอูฮยอน”
ดงอูยื่นมือมาฉุดร่างเล็กของอูฮยอนให้ทรุดตัวลงนั่งตามเดิม
หลังจากที่คนตัวเล็กลุกขึ้นตะเบ็งเสียงใส่ซองกยูเมื่อครู่
“ผมขอโทษครับคุณอูฮยอน
แต่ต่อให้คุณไปหาซองยอลที่ห้องคุณก็ไม่มีทางได้เจอเขา” หัวใจของมยองซูกระตุก
“ในตอนนี้ไฟลท์ที่ซองยอลจะไปคงออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว”
“อะไรกัน”
เสียงของอูฮยอนที่ดังขึ้นเป็นคำเดียวกับเสียงในใจของมยองซู
อะไรกัน
เมื่อคืนเรายังมีความสุขอยู่ด้วยกันแท้ๆ
เสียงหัวเราะของซองยอลยังเหมือนกันคิมมยองซูได้ยินมันเมื่อไม่กี่นาทีนี้อยู่เลย
สัมผัสที่มอบให้กันแทบทั้งคืนมยองซูยังรู้สึกราวกับว่ามันเพิ่งจบไปชั่วครู่นี่เอง
แต่นี่มันอะไรกัน
อีซองยอลกำลังจากเขาไปในที่ไกลแสนไกล
“ซองยอลฝากจดหมายไว้ให้พวกคุณ”
เสียงเรียบนิ่งของซองกยูเรียกความสนใจจากมยองซูได้เป็นอย่างดี
มือหนายื่นออกไปรีบจดหมายซองเล็กที่ซองกยูยื่นมาให้ก่อนจะเปิดอ่าน
ถึง คิมมยองซู
ฉันรู้ว่าตอนที่นายได้อ่านจดหมายฉบับนี้
นายคงได้รู้แล้วล่ะว่าฉันเดินทางไปต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว
นายคงกำลังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมฉันถึงต้องไป ฮะๆ
ถ้าบอกเหตุผลไปนายจะต้องรู้สึกสมเพชฉันแน่ๆเลยล่ะ มันเป็นเพราะว่าฉันรักนาย
แปลกดีนะว่าไหม เราเพิ่งกลับมาเจอกันในระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่ถึงสามเดือนเสียด้วยซ้ำ
แต่หัวใจของฉันมันกลับกลายเป็นของนายไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัว รู้อะไรไหม?
ฉันดีใจมากนะ ทุกครั้งที่นายทำเหมือนหึงหวงกัน
แต่ถึงจะดีใจแค่ไหนมันก็มาพร้อมกับความเจ็บปวด
ขอโทษนะมยองซู
ฉันขอโทษที่เป็นคนเสนอข้อตกลงของเรา ขอโทษจริงๆที่ทำให้ชีวิตการแต่งงานของนายไม่ราบรื่น
แต่นับแต่วันนี้ต่อไป นายไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้ว
ฉันจะเดินออกไปจากชีวิตคู่ของนายเอง นายต้องดูแลคุณอึนฮเยดีๆนะ
รักเขาให้เหมือนกับที่เขารักนาย อย่าทำให้เขาร้องไห้ อย่านอกใจหรือนอกกายเขาล่ะ
เพราะเขาจะเสียใจ
จริงสิ เรื่องสำคัญที่ฉันอยากจะบอก
ทั้งๆที่ความจริงมันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรมาก เรื่องแรก กับซองจงก็แค่น้องเท่านั้น
ซองจงน่ะเป็นคนที่ทำให้ฉันรู้ว่าฉันรักนาย เพราะฉะนั้นระหว่างเรามันไม่มีอะไร
เรื่องที่สองคนโฮวอน ยิ่งกว่าซองจงอีกนะมยองซู โฮวอนน่ะคือเพื่อนร่วมงาน
เราไม่เคยคุยกันเรื่องอื่นนอกเหนือจากงานเลยด้วยซ้ำ เรื่องที่สามคือนัมอูฮยอน
ถึงนายจะไม่พูดแต่ฉันก็รู้ว่านายคงเคยรู้สึกไม่พอใจในความสนิทสนมของฉันกับอูฮยอน
แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ กับพี่ซองกยูก็ด้วย สุดท้ายคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณนาบี
รู้อะไรไหม ว่าฉันใช้เธอเพื่อระบายความรู้สึกที่มีต่อนาย ความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้
ถ้ามีโอกาสฉันฝากนายไปบอกเธอด้วยนะว่าฉันขอโทษ
ว่าแต่ทำไมฉันถึงต้องมาอธิบายอะไรพวกนี้ด้วยนะ ลืมมันไปเถอะนะมยองซู
หลังจากวันนี้ฉันขอให้นายโชคดี และเข้มแข็งเข้าไว้นะ
ใครกันแน่นะที่น่าสมเพช
ไม่ใช่ซองยอลหรอก เขาต่างหาก
บอกรักกันผ่านตัวหนังสือเหรอซองยอล
บอกรักในวันที่จากกันไปเหรอ
อีซองยอล
นายน่ะ...ใจร้ายที่สุดเลย
-
passionate –
สองขายาวก้าวเดินไปบนถนนที่เขาไม่คุ้นเคย
เนื่องจากคิมมยองซูเพิ่งจะได้รับของสมนาคุณจากคิมซองกยูเป็นตั๋วเครื่องบินจากโซลมายังปารีส
ประเทศฝรั่งเศส โดยที่ท่านประธานบริษัทบอกเหตุผลที่ไล่เขามาที่นี่ว่า
ถือเป็นรางวัลให้กับมยองซูผู้ซึ่งตั้งใจทำงานทำการเสียจนดูหักโหม
คิมมยองซูอยากจะตอกกลับไปเหลือเกินว่าไม่ใช่แค่ดูหรอก
แต่มยองซูหักโหมจริงๆนั่นแหละ
ตั้งแต่วันที่มยองซูได้รับรู้ว่าอีซองยอลไปต่างประเทศซึ่งเขาก็ไม่รู้ชัดแจ้งว่าประเทศไหน
เวลาได้เดินผ่านไปเกือบจะครบ 7 เดือนเต็มในอีกไม่กี่วันอยู่แล้ว
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย
แต่ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คือการหายไปของอีซองยอล
คนหน้าหวานทำตามตัวอักษรที่เจ้าตัวเขียนใส่จดหมายที่ฝากซองกยูมาให้มยองซูได้เป็นอย่างดี
ซองยอลเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมาหรือเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเขาอีก คงจะมีแต่มยองซูนี่ล่ะที่ไม่สามารถทำอย่างที่อีกฝ่ายปรารถนาได้สักอย่าง
ซองยอลบอกให้เขาดูแลชีวิตคู่ของเขาให้ดีๆ
แต่ซองยอลจะรู้หรือยังนะว่าชีวิตแต่งงานของเขามันจบลงโดยสมบูรณ์หลังจากที่ซองยอลเดินออกไปได้เพียงเดือนกว่า
“Sorry,”
มยองซูพูดกับใครสักคนที่เดินสวนกันกับเขาแล้วไหล่ชนกัน
ความจริงแล้วมยองซูก็รู้อยู่หรอกว่าการใช้ภาษาอังกฤษในประเทศที่ติดจะชาตินิยมไม่น้อยแบบฝรั่งเศสมันค่อนข้างลำบาก
แต่จะให้คิมมยองซูทำอย่างไรได้ล่ะ ก็เขาไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสเลยนี่
เพราะฉะนั้นมยองซูจึงไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเสียงโวยวายของเด็กหนุ่มที่เดินชนกับเขาเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร
ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนทำหน้ามึนให้อีกฝ่ายพ่นคำพูดที่เขาฟังไม่ออกใส่เท่านั้น
แต่หลังจากนั้นไม่นานเสียงหวานหูที่มยองซูรู้สึกคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
ถึงแม้ภาษาที่พูดจะไม่ใช่ภาษาบ้านเกิดของพวกเขาก็ตาม
แต่มยองซูมั่นใจว่าไม่ผิดตัวแน่
อีซองยอล
ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับคนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือยิ่งแน่ชัดเข้าไปใหญ่ยามที่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขายื่นมือมาเช็คแฮนด์กับเด็กหนุ่มคู่กรณีของเขา
ทำไมคิมมยองซูถึงจะจำไม่ได้ล่ะว่ามือเรียวสวยเช่นนี้เป็นของอีซองยอล
และเมื่อหันไปมองชายหนุ่มก็ได้พบกับคนที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ที่เมื่อเชื่อวัน
“ซองยอล..”
เสียงที่เปล่งออกไปนั้นเบามากจนมยองซูกลัวว่าเจ้าของชื่อจะไม่ได้ยิน
เขาจึงยื่นมือหนาออกไปรั้งแขนของซองยอลที่เตรียมจะเดินหนีเขาไปไว้ได้ทันท่วงที
“ไปดื่มกาแฟด้วยกันหน่อยสิ”
ข้ออ้างที่มยองซูใช้นั้นดูงี่เง่าจนเขาอยากจะหัวเราะออกมาด้วยความสมเพช
แต่ในขณะเดียวกันก็อยากจะกระโดดโลดเต้นและโห่ร้องด้วยความดีใจในตอนที่ซองยอลพยักหน้ารับคำชวนของเขา
“เป็นยังไงบ้างล่ะ”
คิมมยองซูเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากที่เขาทั้งสองคนเข้ามานั่งอยู่ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
ดวงตาคมทอดมองร่างโปร่งตรงหน้าที่กำลังถอดเสื้อโค้ตปกหนาของตนเองออกอย่างไม่วางตา
“ก็ดี”
ซองยอลตอบ “นายล่ะ”
“ไม่ดีเท่าไร”
เขาว่า ก่อนที่มยองซูจะเห็นแสงกระทบของสร้อยกับหลอดไฟด้านบน
จนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “สร้อยนั่น...”
“ทำไมเหรอ”
อีซองยอลเอ่ยถามพร้อมกับหยิบสร้อยที่อยู่บนลำคอของตนเองขึ้นมาจับแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างนึกสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก
แค่แปลกใจเพราะไม่เคยเห็นนายใส่มาก่อน”
“ฉันเอามันไปทำความสะอาดมาเมื่อตอนที่อยู่เกาหลีน่ะ”
ซองยอลตอบพร้อมกับวาดรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากในขณะที่ดวงตากลมสวยนั้นจ้องมองจี้รูปอินฟินิตี้อย่างอ่อนโยน
“มันเป็นสร้อยที่ฉันชอบที่สุด”
“ซื้อจากที่ไหนงั้นเหรอ”
“ไม่ได้ซื้อ
มีคนให้มา”
คำตอบจากปากของซองยอลทำให้หัวใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าอกซ้ายเต้นแรงและหนักหน่วงขึ้น
“ล-แล้วนายรู้ไหม
ว-ว่าใคร ป-เป็นคนให้” คิมมยองซูมิอาจห้ามตัวเองได้
ชายหนุ่มจึงจำต้องพูดติดๆขัดๆด้วยความตื่นเต้น
ซองยอลเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัยกับท่าทางของมยองซู
แต่สุดท้ายแล้วคนหน้าหวานก็ตอบคำถามของเขาออกมา
“ไม่รู้สิ
ฉันได้มันมาจากพี่ซองกยูตอนที่ฉันจะย้ายมาเรียนที่นี่
พี่ซองกยูบอกว่ามีคนฝากมาให้”
“แล้วนายอยากรู้ไหมว่าใครเป็นเจ้าของสร้อยเส้นนั้น”
ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปหลังจากวางแก้วกาแฟในมือลง
อีซองยอลมองเขาด้วยสายตาที่ดูเหลือเชื่อ
ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะทั้งสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไร แต่ในขณะเดียวกันก็อยากรู้ว่าเจ้าของสร้อยเส้นนั้นเป็นใครอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอก
ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร” ซองยอลปฏิเสธ “ว่าแต่นายมาที่นี่ทำไม”
“พี่ซองกยูบังคับให้ฉันมา”
มยองซูตอบกลับไปตามความจริง
เขาสังเกตได้ก่อนที่ซองยอลจะหลุบตามองตักตัวเองว่าดวงตาคู่สวยของอีกฝ่ายฉายแววผิดหวังอยู่ไม่น้อย
“แต่ถ้าถามถึงเหตุผลที่ฉันอยู่ตรงนี้
ก็อาจจะเป็นเพราะฉันอยากได้ยินคำว่ารักจากปากนาย”
คนหน้าหล่อยื่นมือไปจับมือของซองยอลเอาไว้ พร้อมทอดสายตามองอีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยน
“บอกกันหน่อยได้ไหม อีซองยอล”
“ไม่ล่ะ”
คนตัวสูงปฏิเสธพร้อมดังมือออกจากการเกาะกุม “ฉันว่านายควรจะคิดถึงคนข้างหลังให้มากๆนะมยองซู
คุณอึนฮเยจะเสียใจแค่ไหนที่น-“
“ฉันกับเขา
เราหย่ากันแล้ว” มยองซูไม่รอให้ซองยอลพูดจบ
ชายหนุ่มพูดแทรกขึ้นจนคนหน้าหวานต้องชะงัก “ฉันไม่ได้รักเขา ไม่เคยรัก
และไม่มีวันรัก”
“แต่เขาเป็นภรรยาของนายนะ!”
“ก็บอกแล้วไงว่าเลิกกันแล้ว”
คนหน้าหล่อหัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับท่าทางที่ดูเคร่งเครียดแต่ก็ปนไปด้วยความตกใจของซองยอล
“ฉันแต่งเพราะที่บ้านบังคับ แต่สำหรับอึนฮเยฉันไม่รู้”
“เขารักนาย”
ซองยอลตอบแทน ก่อนจะยกกาแฟร้อนตรงหน้าขึ้นมาจิบ “เขามาหาฉัน ร้องไห้ แล้วฝากให้ฉันไปบอกคนที่แทรกกลางระหว่างนายกับเขาทีว่าช่วยออกไปจากชีวิตของพวกนายซะ”
ก้นแก้วกระทบกับโต๊ะจนเกิดเสียงขึ้นมาเบาๆยามที่ซองยอลวางแก้วลงไป
“ฉันก็เลยเลือกที่จะออกมา”
“จากฉันมาโดยที่ไม่คิดจะถามฉันสักคำน่ะเหรอซองยอล”
มยองซูถาม
“ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องถาม”
คนน่ารักโต้กลับ “เรื่องระหว่างเรามันมีแค่เซ็กซ์อยู่แล้วนี่สำหรับนาย และที่สำคัญ
มันไม่ใช่เรื่องดีที่ฉันจะยอมอดทนเพื่อครอบครองนายทั้งๆที่ฉันเจ็บปวด”
“แค่นายบอกกันเราก็คงไม่ต้องจบความสัมพันธ์ของเราแบบนั้น
ซองยอล” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น “หรือไม่
แค่นายบอกความรู้สึกของนายมา เรื่องทุกอย่างมันจะง่ายขึ้น”
“นายมั่นใจได้ยังไงว่ามันจะง่ายขึ้น
ถ้าตอนนั้นฉันบอกไปนายจะหย่ากับเขาทันทีงั้นเหรอ” ซองยอลแค่นหัวเราะ “ตลกน่ะ
คิมมยองซู”
“ไม่หรอก
เพราะฉันจะทำแบบนั้นจริงๆ” คำพูดของคิมมยองซูทำให้ซองยอลต้องชะงัก ก่อนที่ความเงียบงันจะเข้าปกคลุมในบริเวณที่เขาทั้งสองคนนั่งอยู่
มยองซูจ้องมองเพียงซองยอลที่นั่งมองแก้วกาแฟ
จากนั้นคนหน้าหล่อจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้น
“ฉันรักนาย”
“...โกหก”
คำบริภาษดังลอดจากริมฝีปากของซองยอล ทำให้มยองซูต้องหัวเราะออกมา
“ฉันพูดจริง
สร้อยที่นายใส่อยู่ฉันก็เป็นคนสั่งทำ”
คนหน้าหล่อพูดพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มขำ
เมื่อเห็นว่าซองยอลกำลังมองเขาด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง “ฉันจะเก็บความรักของฉันไว้ที่นาย
ให้ความรักของฉันมันอยู่กันายไปเรื่อยๆเหมือนอินฟินิตี้
เพราะฉะนั้นช่วยใส่มันไว้ตลอดเถอะนะ ...ข้อความในจดหมายที่อยู่ในกล่องสร้อย
ถ้าหากนายจะจำได้”
“แต่นั่นมัน...”
“นานแล้ว”
มยองซูต่อ “ฉันรักนายมานานแล้ว เพราะเราอยู่ด้วยกันบ่อยไปล่ะมั้ง
จากที่รู้สึกเฉยๆมันกลายเป็นรักโดยไม่รู้ตัว”
“แล้วทำไมไม่บอกล่ะ
ไอ้บ้า!” คนหน้าหวานร้องเสียงดัง ก่อนจะหยิบเสื้อโค้ตที่วางพาดไว้กับที่เท้าแขนแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปทันที
จนมยองซูต้องรีบวิ่งตามไป
“ก็บอกแล้วไง”
ชายหนุ่มกระซิบที่ข้างหูของคนหน้าหวาน
พร้อมกับกระชับอ้อมแขนให้ร่างของซองยอลแนบชิดกับเขามากขึ้น “เพราะฉะนั้น
คำว่ารักของนาย จะบอกให้ฉันฟังได้หรือยัง”
หัวใจของมยองซูเต้นแรง
เช่นเดียวกับซองยอลที่อยู่ในอ้อมกอด เสียงหวานที่แผ่วเบาดังลอยมากับสายลม
ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมยองซู เมื่อชายหนุ่มได้ฟังคำที่เขาปรารถนาที่จะได้ยินมาตลอดเสียที
“ฉันก็รักนาย”
END.